POLITICS

‘พล.อ.ณัฐพล’ ขอบคุณประชาชนชายแดนที่อดทนอดกลั้นจนการเจรจา GBC สำเร็จ

‘พล.อ.ณัฐพล’ สรุปผลประชุม GBC ยัน ไทยไม่ให้ต่างชาติเข้าแทรกแซง มุ่งเจรจาทวิภาคี-ขอบคุณประชาชน 4 จังหวัด ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่อดทนอดกลั้นจนการเจรจา GBC สำเร็จ พร้อมเร่งคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนตามลำดับ

วันนี้ (8 ส.ค. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม GBC ที่ประเทศมาเลเซียเมื่อวานนี้ ว่า สำหรับข้อตกลงเมื่อวานนี้รายละเอียด 13 ข้อ ตนเองคิดว่าทุกคนทราบหมดแล้ว แต่ตนเองอยากสรุปภาพรวมว่าใน 13 ข้อนี้มีการแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ คือ กลุ่มแรก ข้อตกลงหรือบันทึกการประชุมที่เกี่ยวการหยุดยิงมี 9 ข้อ เมื่อหยุดยิงแล้วจะตรวจสอบอย่างไร มี 3 ข้อ และกลุ่มสุดท้ายคือเรื่องการติดตามผลการประชุม GBC ที่จะเกิดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า สิ่งที่ตนเองอยากบอกเพิ่มเติมคือเมื่อวานนี้ (7 ส.ค. 68) ได้มีโอกาสพบนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยสิ่งที่เรายึดถือคำมั่นต่อกันคือ

1.มาเลเซีย และอาเซียนจะปล่อยให้ไทย และกัมพูชาตกลงกันเองแบบทวิภาคีจะไม่เข้าแทรกแซง แต่จะขอสังเกตการณ์

2.ประเทศจีน และสหรัฐอเมริกาจะปล่อยให้อาเซียนบริหารสถานการณ์กันเองจะไม่เข้ามาแทรกแซง

โดย 2 ข้อนี้ เป็นสิ่งที่ตนเองได้รับคำมั่นจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราขอไป เช่น เมื่อการประชุม GBC ในห้วงเวลาที่ผ่านมาทางฝ่ายกัมพูชาเสนอว่าขอผู้สังเกตการณ์มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ตั้งแต่ต้นซึ่งตนเองไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น อยากให้เป็นการพูดคุยเฉพาะไทยและกัมพูชาในแบบทวิภาคี แต่ในที่สุดแล้วที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ขอให้มีส่วนร่วมบ้าง ดังนั้นตนเองจะให้มีส่วนร่วมวันสุดท้าย ซึ่งเกือบจะได้ข้อสรุป 100% แล้ว เพราะฉะนั้นภาพที่สื่อมวลชนเห็นในช่วงวันที่ 4-6 ส.ค. 68 ซึ่งเป็นช่วงถกแถลงการณ์ของฝ่ายเลขา GBC จะไม่มีผู้สังเกตการณ์เข้าร่วม นั่นคือสิ่งที่ตนเองพยายามรักษาไว้ เพื่ออยากให้เป็นในเรื่องของทวิภาคี และสิ่งที่เราประสบความสำเร็จอีกประการคือในห้วงเวลาที่ผ่านมากัมพูชายังไม่ยอมมาพูดคุยแบบทวิภาคี

พล.อ.ณัฐพล ยังกล่าวอีกว่า เมื่อวานนี้ (7 ส.ค. 68) กัมพูชายอมเข้ามาพูดคุยแบบทวิภาคี ซึ่งนั้นเป็นเป้าหมายหนึ่งที่เราทำสำเร็จไปแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ตนเองอยากย้ำไปถึงประชาชน คือกรณีที่หลายคนสงสัยว่าเราเชื่อใจกัมพูชาได้หรือไม่ ซึ่งตนเองอยากบอกเป็น 2 ประเด็น คือ ตนเองจะใช้แนวทางเดิมคือ ความเป็นผู้มีวุฒิภาวะประเทศไทยเราต้องแสดงถึงความเป็นผู้มีวุฒิภาวะดำเนินการตามกฏหมายระหว่างประเทศ และตามความเห็นร่วมกันของนานาชาติ ซึ่งเราจะใช้เป็นกรอบในการประเมิน และควบคุมกับชาว่าเขาจะขัดต่อกฎหมาย ขัดต่ออนุสัญญาหรือขัดต่อความเห็นนานาชาติได้อย่างไร

ต่อมาตนเองได้ประเมินไว้คือ ตอนประชุมกองเลขา GBC จะดูว่ามีความจริงใจหรือไม่ ซึ่งเขาก็ให้ความร่วมมืออาจจะมีบางข้อที่ไม่ยอมรับ และบางข้อที่เขาเสนอมา ซึ่งเราก็ไม่ยอมรับเหมือนกัน โดยข้อที่เราเสนอไปแล้วเขาไม่ยอมรับ คือการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และเรื่องสแกมเมอร์ ฉะนั้น การประเมินขั้นฝ่ายเลขาถือว่าผ่าน และเมื่อวานนี้ (7 ส.ค. 68) คือสิ่งที่ตนเองประเมินขั้นที่สองในขั้น GBC เต็มคณะ ซึ่งจะเห็นการประชุมเมื่อวานนี้ มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก จึงอยากให้มั่นใจได้ว่าผู้เข้าประชุมหลายส่วนราชการมีส่วนร่วม ซึ่งฝ่ายกัมพูชาตอบรับแต่อาจมีบางประเด็นที่มาพูดข้างหลังบ้าง แต่ในภาพรวมได้ลงนามกันแล้ว และเรายึดถือตามเอกสารที่ลงนามร่วมกัน

นอกจากนี้ พล.อ.ณัฐพล กล่าวอีกว่า ตนเองจะประเมินความจริงใจของกัมพูชานั้น คือขั้นตอนการปฎิบัติ ซึ่งจะมีกลไกกำกับ 2 กลไก คือ กลไกคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค (RBC) ซึ่งมีในส่วนของแม่ทัพภาค 1 และ 2 เป็นประธาน ซึ่งเราจะให้แม่ทัพภาคดูในรายละเอียดในการคุยกับผู้บัญชาการภูมิภาคของกัมพูชาในแต่ละพื้นที่ และกลไกต่อมาคือการประชุม GBC ที่จะมีอีกครั้งในอีก 1 เดือนข้างหน้า และกลไกกำกับอีกประการหนึ่งที่ได้มีการพูดคุยกัน คือคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งแตกต่างจากทีมผู้สังเกตการณ์ที่จะมีผู้ช่วยโทษทหารในอาเซียน และมีกองกำลังเข้ามาด้วย ซึ่งส่วนนี้ฝ่ายไทยได้ขอไว้ให้ใช้เพียงผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว นั่นคือผู้ช่วยทูตทหารอาเซียนที่อยู่ในประเทศไทยที่จะคอยสังเกตการณ์

พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า ฉะนั้นจะไม่มีกองกำลังจากนอกประเทศเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งหากถึงขั้นนั้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่ โดยเราจะศึกษาในรายละเอียดก่อนเนื่องจากแต่ละประเทศมีกฎหมายไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะประเทศไทย การที่จะมีกำลังของต่างชาติเข้ามาภายในประเทศนั้นมันเป็นเรื่องที่ต้องทำตามขั้นตอนซึ่งตนไม่สามารถตกลงใจได้ ตนเองยืนยันว่า GBC หรือ ศบ.ทก. เรามีฝ่ายกฎหมายอยู่ในทีมเพราะฉะนั้นการจะทำอะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจตนเองจะไม่ทำ และจะทำเฉพาะสิ่งที่อยู่ในอำนาจ หรือหากจำเป็นต้องทำในสิ่งที่เกินอำนาจก็จะเสนอเข้าสภาความมั่นคงแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรี จึงอยากให้มั่นใจในการปฏิบัติงานของ ศบ.ทก และ GBC

พล.อ.ณัฐพล ยังกล่าวถึงภาพรวมของการคลี่คลายสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า ไม่ได้มีเฉพาะงานที่ทุกคนเห็นส่วนใหญ่เป็นเรื่องของความมั่นคงหรือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังมีงานอื่น ๆ อีก ซึ่งการประชุมคณะรัฐมนตรีที่ผ่านมาตนได้เรียนไปยัง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะรักษาการแทนนายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาสั่งการว่างานอื่น ๆ ขอให้ส่วนราชการอื่น ๆ ดำเนินการคู่ขนานไปด้วย ซึ่งก็ได้สั่งการให้สภาความมั่นคงแห่งชาติติดตามว่าปัจจุบันมีงานอะไรบ้างที่เราทำอยู่แล้ว แต่ยังไม่เห็นชัดเจนหรือยังไม่ได้ทำ ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเรื่องของการเรียกร้องค่าเสียหาย เรื่องการดูแลประชาชนจะทำอย่างไร ซึ่งตนเองได้เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้มีการแบ่งมอบให้ชัดเจน เพราะ ศบ.ทก. จะไม่พยายามทำงานอะไรที่ผูกพันระยะยาว โดยอยากให้จบภารกิจโดยเร็ว

พล.อ.ณัฐพล กล่าวต่อว่า หากสถานการณ์คลี่คลายชัดเจนตนเองก็จบภารกิจของ ศบ.ทก. เพราะเป็นกลไกพิเศษซึ่งไม่ควรอยู่นาน แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนั้น และรัฐบาลเองก็ยังเป็นห่วง แต่หากถึงเวลาเมื่อไหร่ตนเองก็จะเสนอขอจบภารกิจ เพราะเป็นภาระที่หนักมาก และในวันนี้ตนเองได้แต่งตั้งคณะที่ปรึกษาประกอบไปด้วย เลขากฤษฎีกา เลขาคณะรัฐมนตรี และเลขาสภาพัฒน์ฯ เป็นที่ปรึกษาส่วนตัว เพื่อช่วยดูว่าสิ่งที่ตนเองทำอยู่ทุกวันนี้ควรจะมีการปรับปรุงแก้ไขอะไรบ้าง

นอกจากนี้ ยังได้แต่งตั้งที่ปรึกษาประจำตัวจากผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านการทหาร ด้านสังคม ประวัติศาสตร์ แผนที่ แบะด้านอื่น ๆ อีกประมาณ 8 คน เพราะตอนเริ่มมองเห็นแล้วว่างานข้างหน้าลำพัง GBC หรือ ศบ.ทก. น่าจะเริ่มเกินกำลัง เราต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญที่คอยแนะนำให้ตนเองดำเนินการในสิ่งที่เหมาะสม

ทั้งนี้ พล.อ.ณัฐพล ยังกล่าวอีกว่า ตนเองได้ทราบถึงปัญหาประชาชนในพื้นที่ชายแดนมีความเดือดร้อนอยากกลับบ้าน เนื่องจากเป็นห่วงบ้านเรือน แต่ทางนายภูมิธรรม จึงได้สั่งการให้ตำรวจ และ ชรบ. เข้าไปช่วยดูแลทรัพย์สินของประชาชนที่อพยพออกมา แต่อย่างไรก็ตามประชาชนยังคงห่วงในเรื่องของผลผลิตทางด้านการเกษตรที่บางอย่างจะต้องเก็บเกี่ยวห่างช้าไปก็จะเสียหาย โดยตนเองได้ประสานไปยังแม่ทัพภาคที่ 2 ให้เชิญผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 4 จังหวัด ตามแนาวชายแดนหาหรือว่าจังหวัดใดที่สถานการณ์เหมาะสมจะให้ประชาชนกลับภูมิลำเนาได้ก่อให้เร่งดำเนินการ หากพื้นที่ใดยังห่วงใยอยู่ก็ขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือในการอยู่ในโซนอพยพก่อน

“ผมต้องขอบคุณประชาชนทุกคนที่ไม่เคยพูดตัดพ้อทำให้ ศบ.ทก. หรือ GBC หนักใจ แต่ผมรู้ว่าทุกคนเดือดร้อนมาก ผมต้องขอบคุณที่ทุกคนอดทนอดกลั้น และจะพยายามคลี่คลายสถานการณ์ให้เป็นไปตามลำดับ รวมถึงประชาชนที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี และตราด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประชาชนที่เป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ จึงอยากขอให้อดทนอีกนิด หากสถานการณ์คลี่คลายในทางที่ดีขึ้นก็จะผ่อนคลายไปตามลำดับ” พล.อ.ณัฐพล กล่าว

Related Posts

Send this to a friend