กรมการแพทย์ แนะผู้มีประวัติ ‘ผื่นผิวหนังจากสารเคมี’ ทดสอบ Patch Test หาสาเหตุเฉพาะ ช่วยรักษาถูกจุด-ดูแลตัวเองได้เหมาะสม
โรคผื่นผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสเป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติสัมผัสสารเคมี สารก่อภูมิแพ้จากการประกอบอาชีพ การใช้ผลิตภัณฑ์กับผิวหนังหรือเส้นผม รวมถึงผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาและเครื่องสำอาง การทดสอบผื่นแพ้สัมผัส (Patch Test) จึงมีบทบาทสำคัญในการวินิจฉัยแยกโรคและระบุสาเหตุของผื่นดังกล่าว เพื่อวางแผนรักษาได้ตรงจุด ลดการกลับเป็นซ้ำของโรค
นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า การวินิจฉัยโรคผิวหนังจากการแพ้สัมผัสต้องอาศัยเครื่องมือที่แม่นยำและได้มาตรฐานทางวิชาการ การทดสอบ Patch Test ถือเป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยยืนยันสาเหตุของผื่นผิวหนังอักเสบได้เฉพาะเจาะจง ช่วยลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็นในระยะยาว
นพ.วีรวัต อุครานันท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า สถาบันโรคผิวหนังพร้อมให้บริการทดสอบผื่นแพ้สัมผัส มีชุดสารทดสอบ (allergens) มากกว่า 360 รายการ ขั้นตอนการทดสอบประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่
Day 0 ซักประวัติ ตรวจร่างกาย ปรึกษาแพทย์ เลือกสารที่ต้องการทดสอบการแพ้ และติดแผ่นทดสอบบนผิวหนัง
Day 2 หรือ 48 ชั่วโมง นำแผ่นทดสอบออกและอ่านผลการทดสอบครั้งที่ 1
Day 4 หรือ 96 ชั่วโมง อ่านผลการทดสอบครั้งที่ 2 วินิจฉัยโรค ให้คำแนะนำ และวางแผนการรักษา
ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำ การออกกำลังกายที่ทำให้เหงื่อออกมาก รวมถึงไม่เกาบริเวณที่ทำการทดสอบตลอดระยะเวลาดังกล่าว เพื่อให้ผลการตรวจมีความแม่นยำ
พญ.นันท์นภัส โปวอนุสรณ์ นายแพทย์ชำนาญการ สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า การแปลผล Patch Test จะพิจารณาจากปฏิกิริยาทางผิวหนัง แบ่งระดับเป็น ปฏิกิริยาอ่อน (+), ปฏิกิริยาชัดเจน(++) และปฏิกิริยารุนแรง (+++) โดยพบผื่นแดง ตุ่มนูน หรือแผลตุ่มน้ำตามลำดับ ผลที่ไม่แน่ชัดจะระบุเป็น (?+) และหากเป็นปฏิกิริยาจากการระคายเคืองโดยไม่ใช่ภูมิแพ้ จะระบุเป็น IR (Irritant Reaction)
การวินิจฉัยอย่างถูกต้องและแม่นยำจะช่วยให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และมีแนวทางรักษาที่ชัดเจนและเหมาะสม ขอแนะนำให้ผู้ที่มีประวัติผื่นผิวหนังเรื้อรังจากการสัมผัสสารเคมี หรือสงสัยอาจแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผิวหนังหรือเส้นผม เข้ารับการปรึกษาเพื่อพิจารณาทดสอบ Patch Test ช่วยให้ดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย












