ENVIRONMENT

นักวิชาการ ม.แม่โจ้ พบปลาแม่น้ำกก-โขง มีตุ่มพอง-เซลล์เนื้อเยื่อผิดปกติ เตือน ปชช. งดบริโภค

วันนี้ (23 พ.ค. 68) รองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีพบปลาในแม่น้ำกกมีลักษณะผิดปกติว่า เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ได้รับตัวอย่างปลาแข้ 2 ตัว และปลาหมู 1 ตัว จากชาวบ้านและเครือข่ายในพื้นที่ ซึ่งปลาเหล่านี้มีตุ่มพอง จากการตรวจสอบสภาพภายนอกเบื้องต้น พบตุ่มพองบริเวณหนวดใต้คางและเหงือก ครีบอักเสบเป็นจ้ำสีแดง ซึ่งเป็นลักษณะของตุ่มเนื้ออักเสบเรื้อรัง อันบ่งชี้ถึงความผิดปกติของเซลล์เนื้อเยื่อ เนื่องจากตุ่มพองดังกล่าวมีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อที่บอบบาง จึงจำเป็นต้องดำเนินการตรวจสอบโดยละเอียดเพื่อหาสาเหตุของความผิดปกตินี้ ซึ่งคาดว่าเป็นเซลล์ก้อนเนื้อที่อักเสบมาเป็นเวลานาน

รองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ อธิบายเพิ่มเติมว่า เซลล์ก้อนเนื้ออักเสบเหล่านี้อาจเกิดจากการสะสมมาจากผิวหนังที่ระคายเคือง เมื่อร่างกายของปลาไม่สามารถขับสิ่งผิดปกติออกมาได้ จึงกลายเป็นตุ่มอักเสบ ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าความผิดปกติของแหล่งที่อยู่อาศัย เช่น สภาพแวดล้อมที่มีความเป็นกรดสูง หรือการปนเปื้อนของสารเคมีที่ปลาได้รับเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก อาจเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อปลาได้

รองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ ระบุว่า จากประสบการณ์การทำงานเก็บตัวอย่างปลาในภาคเหนือและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาอย่างยาวนาน ทำให้ตนเองได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในลุ่มน้ำกกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบว่า จากเดิมที่น้ำในแม่น้ำกกช่วงหน้าแล้งจะใสสะอาดจนมีประชาชนลงเล่นน้ำเป็นจำนวนมาก แต่ระยะหลังมานี้น้ำกลับเริ่มขุ่นผิดปกติ และปริมาณปลาที่พบก็ลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย

สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับการที่กลุ่มผู้ร่วมงานด้านการศึกษาพันธุ์ปลาและการดูแลแม่น้ำโขงได้ตรวจพบปลาลักษณะเดียวกันในแม่น้ำกก จึงได้ส่งตัวอย่างมาให้ตรวจสอบเพิ่มเติม สำหรับปลาแข้ซึ่งเป็นปลากินพืช เมื่อเกิดการสะสมสารผิดปกติในร่างกายจนแสดงอาการออกมาทางผิวหนัง ย่อมเป็นสัญญาณว่าอวัยวะภายในของปลาอาจมีปัญหา จึงจำเป็นต้องส่งตรวจเพื่อพิสูจน์ว่ามีความเกี่ยวข้องกับสารพิษที่ตรวจพบในแม่น้ำกกหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีรายงานการตรวจพบสารหนูในปริมาณที่เกินมาตรฐานมากกว่า 10 เท่า ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการตุ่มพองดังกล่าวได้

ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปลาแข้จัดเป็นปลากินเนื้อ ซึ่งเชื่อว่าอาจได้รับสารพิษสะสมจากการกินปลาอื่นที่มีการปนเปื้อน ทำให้เกิดผลกระทบแบบทวีคูณ นอกจากนี้ ในปลาหมูที่พบยังมีอาการช้ำ และเมื่อผ่าพิสูจน์พบว่าตับมีลักษณะภายนอกที่ผิดปกติ จึงจำเป็นต้องตรวจสอบเนื้อเยื่ออย่างละเอียดเพื่อตรวจหาปริมาณสารเคมีต้องสงสัย ซึ่งขณะนี้ได้ส่งตัวอย่างเนื้อเยื่อที่ผิดปกติไปตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้ว คาดว่าจะทราบผลภายใน 2-3 วัน

รองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ กล่าวย้ำว่า ตุ่มพองที่พบในตัวปลานั้นพัฒนามาจากเซลล์เนื้อเยื่อปกติ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องส่งตรวจอย่างละเอียดเพื่อให้ทราบแน่ชัดว่ามีสารพิษ เช่น สารหนู หรือตะกั่ว สะสมอยู่หรือไม่ และสารพิษเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวจริงหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยพบปลาในแม่น้ำกกหรือแม่น้ำโขงที่มีลักษณะตุ่มพองเป็นจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน

อาจารย์คณะเทคโนโลยีการประมงฯ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อธิบายถึงกลไกการรับสารพิษในปลาว่า เหงือกของปลาเป็นอวัยวะที่บอบบางและมีคุณสมบัติที่ยอมให้แร่ธาตุต่างๆ รวมถึงสารพิษเช่นสารหนู ซึมผ่านเข้าสู่ร่างกายได้โดยง่ายในระหว่างกระบวนการหายใจซึ่งปลาจะรับออกซิเจนจากน้ำ นอกจากนี้ ปลาที่กินพืชหรือสัตว์อื่นที่ปนเปื้อนสารพิษเข้าไปก็จะเกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น หากปลาแข้หรือปลาหมูกินกุ้งที่อาศัยในแหล่งน้ำปนเปื้อน กุ้งซึ่งมีเหงือกก็จะดูดซึมสารหนูเข้าไป และเมื่อปลาเหล่านี้กินกุ้งเข้าไป ก็จะได้รับสารพิษต่อไปเป็นทอดๆ ดังนั้น การตรวจพิสูจน์จึงมีความสำคัญเพื่อยืนยันการมีอยู่ของสารเคมีเหล่านี้ในสิ่งมีชีวิตในน้ำ

นอกจากนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ ยังชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของภาวะน้ำขุ่นในแม่น้ำว่า เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ เนื่องจากแสงแดดไม่สามารถส่องผ่านลงไปในน้ำและถึงก้อนหินใต้น้ำได้ ทำให้แพลงก์ตอนพืชซึ่งเป็นอาหารของปลาบางชนิดที่อาศัยหากินบริเวณก้อนหินไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ส่งผลให้ปลาในกลุ่มนี้ เช่น ปลาจิ้งจก รวมถึงแมลงน้ำที่กินสาหร่ายเป็นอาหารต้องลดจำนวนหรือหายไป เมื่อวงจรชีวิตในระบบนิเวศถูกรบกวน ปลาเหล่านั้นก็จะขาดแคลนอาหาร ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทั้งหมดในลุ่มน้ำ

สำหรับคำแนะนำต่อประชาชนนั้น รองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ เชื่อว่าขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่ตั้งแต่ อ.แม่อาย ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว เห็นได้จากการที่ผู้คนหลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในแม่น้ำกกช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตนที่ถูกต้องในการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง เนื่องจากหากแม่น้ำมีการปนเปื้อนสารพิษในระดับสูง การลงไปใช้ประโยชน์จากแม่น้ำย่อมเป็นเรื่องที่ยากลำบากและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้

นักวิชาการท่านเดิมยังแสดงความกังวลถึงผลกระทบที่อาจตามมาอีกประการหนึ่ง คือ ปัญหาการตกค้างของสารเคมีในพื้นที่ราบลุ่มที่ประสบอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งหากมีการปนเปื้อนสารเคมีจริง การจัดการหรือกำจัดสารเคมีเหล่านั้นออกจากพื้นที่อาจเป็นไปด้วยความยากลำบาก นับเป็นอีกประเด็นสำคัญที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งตรวจสอบ

รองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ เน้นย้ำคำเตือนให้ประชาชนงดบริโภคปลาในระยะนี้ โดยไม่จำกัดเฉพาะปลาจากแม่น้ำกกเท่านั้น แต่รวมถึงปลาจากแม่น้ำโขงด้วย เนื่องจากเชื่อว่าแม่น้ำโขงก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน พร้อมกันนี้ ยังเสนอให้มีการประสานความร่วมมือในระดับภูมิภาคกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา โดยหากต้นตอของปัญหามาจากแหล่งทำเหมืองตามที่มีการตั้งข้อสังเกต ก็จะได้ร่วมกันหาแนวทางแก้ไข หรือหากไม่ใช่ ก็จำเป็นต้องสืบหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อดำเนินการต่อไป

พร้อมกันนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.อภินันท์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏการพบปลาที่มีตุ่มพองในลักษณะเช่นนี้ทั้งในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงมาก่อน แม้ว่าในธรรมชาติอาจพบปลาที่มีผิวหนังเป็นจ้ำแดงได้บ้างในบางกรณี เช่น ปลาที่อาศัยอยู่ในแอ่งน้ำขนาดเล็กที่แห้งขอดในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งมีการทับถมของใบไม้จนน้ำมีสภาพเป็นกรด แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นในวงจำกัดและหายไปเมื่อมีฝนตกลงมา การพบปลาที่มีตุ่มพองจำนวนมากในแม่น้ำสายหลักเช่นนี้จึงถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง

รองศาสตราจารย์ อภินันท์ แนะนำอย่างหนักแน่นว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน ชาวประมงไม่ควรจับปลาจากแหล่งน้ำดังกล่าวมาบริโภคโดยเด็ดขาด และประชาชนในพื้นที่ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคปลาจากแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง โดยหันไปบริโภคปลาจากแหล่งอื่นที่ปลอดภัยแทน ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าประชาชนในพื้นที่อาจมีการสะสมสารพิษในร่างกายอยู่ก่อนแล้ว การบริโภคปลาที่อาจปนเปื้อนเพิ่มเติมจึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยง

ท้ายที่สุดนี้ รองศาสตราจารย์ อภินันท์ เสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงอย่างละเอียด โดยเก็บตัวอย่างน้ำจากหลายจุดเพื่อตรวจวัดความเข้มข้นของสารปนเปื้อน และควรมีการตรวจสอบการปนเปื้อนในระบบนิเวศตามหลักการเชื่อมโยงของห่วงโซ่อาหาร เพื่อประเมินปริมาณสารพิษที่เกี่ยวข้อง หากผลการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างปลาพบสารพิษจริง ก็จะช่วยให้สามารถสืบย้อนไปถึงแหล่งที่มาหรือต้นตอของมลพิษดังกล่าวได้ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาในระยะยาวต่อไป

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat