‘อมรัตน์’ ยันคิดไม่ผิด บุกบ้าน-ที่ทำงาน ‘นิวเยียร์’ โอดเป็นเหยื่อมานาน
‘อมรัตน์’ ยันคิดไม่ผิด บุกบ้าน-ที่ทำงาน ‘นิวเยียร์’ โอดเป็นเหยื่อมานาน ขอเป็นไฟฉายส่องแสงไปในที่มืด เปิดภาพถูกใส่ร้าย ตัดหน้าตัวเองใส่ร่าง ‘กำนันนก’ ทำสังคมเข้าใจผิด คิดว่าเป็นผู้ใกล้ชิดมาเฟีย ลั่น “ใครทุบกระจกบ้านเรา ก็ต้องช่วยตัวเองก่อนไหม” ขอโทษทำสังคม Toxic บอก “บางทีมาตรการทางกฎหมายก็ใช่ แต่ต้องใช้มาตรการทางสังคมด้วย”
วันนี้ (20 ก.ย. 66) ที่รัฐสภา นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์กรณีผู้ใช้ เฟซบุ๊ก “ปีใหม่ ปีใหม่” เขียนจดหมายร้องเรียนที่นางอมรัตน์บุกไปคุกคามถึงบ้านและที่ทำงาน ที่มีเหตุมาจากการโพสต์ประกาศยุติสงครามเหลืองแดงจนมีเสียงการวิจารณ์ไม่เหมาะสม ว่า ตนเองต้องขออภัยที่ทำให้สังคมเป็นพิษ มีความ Toxic สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ว่าจะทางสังคมหรือกฎหมาย ตนเองก็ยินดี ยินยอมน้อมรับ หากเป็นการดำเนินการทางกฎหมาย ก็จะดำเนินการทางกฎหมายตอบกลับไปด้วยเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ ต้องขอบอกว่าเป็นเรื่องที่ตนเองเหลือทนจากการเป็นผู้ถูกกระทำมาตลอดต่อเนื่องยาวนาน ที่คนที่ไม่ได้ใช้ชื่อจริงในการเปิดบัญชีในโซเชียลมีเดีย ปั่นกระแสข่าวเท็จ ข่าวปลอมโจมตี ด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผลรองรับ ตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีก่อน ซึ่งคนดังกล่าวมีผู้ติดตามเป็นนักการเมืองระดับหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่ โดยที่ไม่ทราบตัวตน
“บางเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อนายแบก นางแบก ไม่อยากใช้คำนี้ แต่ก็ต้องใช้ สำหรับบางคนคิดว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ถ้ายกตัวอย่าง เช่น คุณคำผกา หมออั้ม หรือใครที่ใช้ชื่อจริง เป็นเรื่องที่รับได้ แต่กรณีที่ไม่มีตัวตน เป็นบุคคลปริศนา มีใครสืบเสาะหาก็ไม่มีใครทราบความจริง บ้างก็ว่าเป็นนักวิชาการอิสระ บ้างก็ว่าอยู่ต่างประเทศ บ้างก็ว่าเป็นคนสนิทสนมพรรคการเมืองใหญ่ หรือการแสดงตนเป็นบุคคลใกล้ชิดคนใหญ่คนโตหรือนักการเมืองใหญ่ ก็ทำให้คนทั่วไปมีความเกรงใจ จะเขียนด่าใคร จะใส่ร้ายป้ายสีใครก็ทำได้ โดยสะดวกใจ ไม่มีใครสามารถติดตามเอาผิดได้” นางอมรัตน์ กล่าว
นางอมรัตน์ยืนยันว่าตนเป็นผู้ถูกกระทำ พร้อมโชว์ภาพให้ผู้สื่อข่าวดูและระบุว่าเป็นภาพของตนเองที่ถูกนำไปตัดต่อ โกรธเพราะเอาหน้าตนไปใส่รูปกำนันนก และพยายามบิดเบือนว่าตนเองสนิทกับมาเฟีย ทำให้รู้สึกว่าไม่ไหว ประกอบกับมีคนให้เบาะแสมา ว่าบุคคลดังกล่าวพยายามแสดงตนว่ามีผู้สนับสนุนใหญ่โต
“เรื่องนี้เริ่มจากที่เราเป็นเหยื่อต่อเนื่องมายาวนาน ก็เลยมีความรู้สึกว่า เอ๊ะ เป็นใคร เป็นเพจที่เป็นอินฟลูเอนเซอร์และกระจายกันไปหมด จึงตรวจสอบว่ามีตัวตนจริงหรือไม่ เมื่อโทรไปเช็คแล้วผู้จัดการฝ่ายบุคคล ก็สอบถามว่าพนักงานใช้ช่องทางโซเชียลโพสต์โซเชียลมีเดียหรือไม่ ซึ่งตนก็ได้ส่งข้อมูล เขาก็โพสต์ด่าทุกคน แม้กระทั่งนายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ก็โดนด่าเสียๆ หายๆ”
ซึ่งต้นสังกัดก็ยินดีตรวจสอบให้ ซึ่งช่วงบ่ายตนเองจะกลับบ้านในจังหวัดนครปฐมพอดี ทราบว่าโรงงานที่บุคคลดังกล่าวทำงานเป็นทางผ่านพอดี จึงเข้าไปคนเดียวอย่างถูกต้อง ก็ได้รับการต้อนรับจากคนในโรงงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้บอกกับตนเองว่าบุคคลดังกล่าวได้ยอมรับ แต่ตอนแรกได้ปฏิเสธว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว จะเขียนอะไรก็ได้ แต่กรรมการบริษัทได้ออกหนังสือตักเตือนตามระเบียบบริษัท เหมือนทำทัณฑ์บนไว้ 1 ปี ว่าแม้เป็นพื้นที่ส่วนตัวก็ไปสร้างประเด็นทางสังคม ตนเองได้ยินแล้วก็สบายใจ ถือเป็นมาตรการทางสังคมอย่างหนึ่ง ยืนยันไม่ใช่การคุกคามหรือข่มขู่ เพราะเราเข้าไปอย่างถูกต้อง
ส่วนสาเหตุที่โพสต์ลงโซเชียล เพราะคิดว่า “บางทีมาตรการทางกฎหมายก็ใช่ แต่ก็ต้องใช้มาตรการทางสังคมด้วย เพราะบุคคลที่ไม่ทีตัวตน อยู่ในที่ปริศนาดำมืด หรือเป็นอะไรที่ส่งผลกระทบต่อสังคม ก็ถูกขยายผลและสร้างความเกลียดชังมากมาย บางคนก็ไม่มีปัญญาไปฟ้องหมิ่นประมาท“
นางอมรัตน์ ย้ำว่าหากมีอะไรที่คิดว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตนก็พร้อมต่อสู้ พร้อมอธิบายว่าการเปิดเผยข้อมูลเป็นการกระทำที่อยู่ในกรอบของกฎหมาย คิดว่าไม่เข้าข่าย PDPA เพราะไม่ได้บอกรายละเอียดอย่างชัดเจน เรื่องนี้ก็ต้องไปว่ากันในชั้นศาล แต่ในกระบวนการทางสังคม เหยื่อก็ต้องปกป้องตัวเอง ช่วยเหลือตนเอง หากสังคมจะตัดสินอย่างไรก็ยินดีน้อมรับ
เมื่อถามว่ามองว่าตนเองเป็นเหยื่อใช่หรือไม่ นางอมรัตน์ยอมรับและกล่าวว่า เยอะแยะเลย ตนเองเป็นเหยื่อร่วม คิดว่ามีผู้ถูกกระทำหลายคน มีลักษณะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องและย่ามใจ ดังนั้นจึงถือว่าเป็นการปกป้องตัวเองและเหยื่อคนอื่น หากมองว่าผิดพลาดก็รับผิดชอบได้
เมื่อถามย้ำว่ายืนยันอีกรอบใช่หรือไม่ว่าไม่ใช่การคุกคาม นางอมรัตน์ยกตัวอย่างว่าตนเองก็เคยถูกคุกคาม ทั้งทหาร ตำรวจ ไปที่บ้าน เอารถฮัมวี่ไปวน แบบนี้เรียกว่าการคุกคาม แต่กรณีนี้มีการพบกันด้วยความสุภาพ พร้อมถามว่าตนเองมีสิทธิหรือไม่ ที่โดนด่ามา โดนใส่ร้ายป้ายสี เรามีสิทธิไปบอกกับเจ้านายเขาหรือไม่ เพื่อพิจารณาถึงกฎระเบียบของบริษัท
เมื่อถามว่าเรื่องนี้ถูกมองว่ากระทบกับตำแหน่งของนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ด้วยเพราะนางอมรัตน์เป็นคณะทำงาน นางอมรัตน์กล่าวว่ายังไม่ได้เจอกัน แต่หากกระทบก็ยินดีน้อมรับทั้งหมด เพราะตนเองยังมีสติ เราต้องช่วยเหลือตัวเอง เราจะไม่ทนเป็นเหยื่ออีกต่อไป หากเกินเลยไปบ้างก็ยินดีรับผิดชอบ
ส่วนจะรับผิดชอบถึงขั้นลาออกหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับคนแต่งตั้ง แต่ก็รับได้ อยู่ตรงไหนก็ทำงานได้
เมื่อถามว่าได้พูดคุยเรื่องนี้กับพรรคก้าวไกลแล้วหรือไม่ นางอมรัตน์ระบุว่ายังไม่ได้พูดคุย แต่ไม่มีปัญหา เพราะทำไปด้วยสติและคิดว่าคุ้มค่า พร้อมย้ำว่าเป็นการที่ตนนำเอาคนที่อยู่ในเงาดำมืด ไม่มีแสง ทำหน้าที่เหมือนไฟฉาย ส่องแสงให้คนได้เห็น มีตัวตน มีอาชีพอะไร จะได้ไม่ต้องไปทำร้ายใครด้วยการโพสต์ถ้าอยู่ในมุมมืดก็ทำอะไรได้ตามสบายไปเรื่อยๆ
มีตัวตนเป็นพนักงานจริง ได้เรียกมาสอบถามก็ยอมรับว่าตนเองเป็นเจ้าของบัญชีผู้ใช้งานใน Facebook และ Twitter จริง บริษัทจึงเห็นว่าต้องตักเตือนซึ่งเป็นเรื่องของบริษัท ตนไม่มีศักยภาพที่จะไปข่มขู่คุกคามใครอยู่แล้ว
ส่วนกระบวนการทางกฎหมายไม่ว่าจะเป็นโจทก์หรือจำเลยก็ขอให้ว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ต้องบอกว่ากฎหมายประเทศไทยมันเป็นกฎหมายหรือไม่ คนที่ได้รับความเสียหายได้รับผลกระทบในกรณีอื่นๆได้รับความยุติธรรมในนามของกฎหมายหรือไม่ ขอให้ใช้กรณีนี้เป็นประโยชน์ในการขยายผลให้ประชาชนได้รับการปกป้องจากกฎหมาย
ส่วนประเด็นที่มีการพูดว่าให้เป็นมาตรการทางสังคมนั้น เป็นลักษณะเหมือนกับการล่าแม่มดหรือไม่ซึ่งก่อนหน้านั้น นางอมรัตน์ ก็เคยต่อต้านเรื่องการล่าแม่มด นางอมรัตน์ กล่าวว่า แล้วแต่จะมอง แต่ขอให้มองด้วยว่าทำกับใคร และการล่าแม่มดต้องเป็นในระดับไหนถึงจะเรียกว่าเป็นการล่าแม่มด เช่น เราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วถูก คสช. ตามล่า ใช้กฎอัยการศึก ใช้กฎหมายตามล่า เราอาจเป็นเหยื่อ แต่เรื่องนี้ก็ก้ำกึ่งว่าใครเป็นเหยื่อกันแน่ เพราะมีคนตกเป็นเหยื่อกันมากมายและตนเองคือส่วนหนึ่งของเหยื่อ อาจมีใครเป็นเหยื่ออีกส่วนนึงก็ว่าไปตามกระบวนการไม่ได้กังวลอะไร
“รู้สึกก็ คิดถูกแล้วที่ได้ส่องแสงไปให้คนที่ไม่มีตัวตนและทุกคนอยากรู้ได้ทราบว่าเป็นใคร และได้ทราบข่าวว่าแกนนำบางพรรคการเมืองก็รีบกด Unfollow ไปเลย เป็นการลดการให้ความสำคัญ” นางอมรัตน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเจ้าตัวมาขอโทษนางอมรัตน์ ยินดีให้อภัยและเรื่องนี้จะจบหรือไม่ นางอมรัตน์ บอกว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจ เพราะพอได้รู้แล้วว่าเป็นใครมาจากไหนก็หายโกรธแล้ว เพราะเป็นคนที่หายโกรธเร็ว ตนเองรู้สึกว่าได้เปิดโปงตัวตนอะไรออกมาสู่สังคมแล้ว หากวันหลังเขาไปทำร้ายใครด้วยช่องทางทางโซเชียลอีก ก็จะได้รู้ว่าเป็นใคร หากมาขอโทษก็ได้ พร้อมรับคำขอโทษ ไม่ได้โกรธอะไรแล้ว
“ก็ต้องแยกระหว่างการคุกคาม ไปสอบถามทางบริษัทก็ได้ว่าคุกคามจริงหรือเปล่า” นางอมรัตน์ กล่าวเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าอยากบอกอะไรกับคู่กรณีหรือไม่
ส่วนจะมีบทลงโทษหลังจากนี้หรือไม่ นางอมรัตน์ กล่าวว่า ก็ให้ดำเนินการไปเพราะตนไม่ได้เป็น สส.แล้ว เป็นเพียงที่ปรึกษารองประธานสภา ขอให้ว่าไปตามกระบวนการ
ผู้สื่อข่าวถามว่า นางอมรัตน์จะยืนยันสิทธิ์ของนักการเมืองในการไปสืบหาตัวตนผู้เห็นต่างหลังจากนี้หรือไม่ นางอมรัตน์ กล่าวว่า ถ้าเราเป็นเหยื่อสมมุติมีใครมากรีดรถเรา หรือเอาน้ำมันมาราดรถเรา เราก็ต้องช่วยตัวเองก่อน
“หากมีใครมาทุบกระจกบ้านเรา เราก็ต้องช่วยตัวเองก่อนไหม ต้องอยากรู้ว่าเขาเป็นใคร เมื่อเราไปสอบถามจากได้ชื่อมาแล้ว เราก็ต้องไปสอบถามว่าเป็นชื่อที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งที่เราได้ทำไปคือการไปสอบถามที่บริษัท เราก็ต้องปกป้องตัวเองก่อนไหม หรือจะไปรอกระบวนการทางศาล ไม่รู้จะสองปีสามปี ห้าปีหกปีก็ไม่รู้ บางที 15 ปีจะหมดอายุความแล้วด้วย อันนี้ถือเป็นการปกป้องตัวเองเหมือนกัน” นางอมรัตน์ กล่าวทิ้งท้าย













