POLITICS

รัฐสภาเริ่มพิจารณาร่าง ‘ปลดล็อกท้องถิ่น’ ‘ธนาธร’ ปลุก ส.ส.-ส.ว. ผ่านกฎหมาย

รัฐสภาเริ่มพิจารณาร่าง ‘ปลดล็อกท้องถิ่น’ ‘ธนาธร’ โชว์ขวดน้ำประปาขุ่น ปลุก ส.ส.-ส.ว. ผ่านกฎหมาย ลั่น ท่านไม่ชอบผมไม่เป็นไร ขอยึดประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก

วันนี้ (30 พ.ย. 65) ในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) โดยมี ศ.พิเศษ พรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุมนั้น มีวาระพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หมวด 14 หรือร่างฯ ปลดล็อกท้องถิ่น ที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 80,772 รายชื่อ เป็นผู้เสนอ

โดยก่อนเข้าสู่การพิจารณา นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในฐานะตัวแทนวิปรัฐบาลว่า เมื่อช่วงเช้าได้หารือกันในวิป 3 ฝ่าย ตกลงกันว่าจะใช้เวลาอภิปรายฝ่ายละ 2 ชั่วโมง ทั้งผู้เสนอ ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และฝ่ายวุฒิสภา รวมเป็น 8 ชั่วโมง จากนั้นตามด้วยการลงมติแบบขานชื่อ ซึ่งคาดว่าทั้งสิ้นจะใช้เวลาทั้งหมด 10 ชั่วโมง ทั้งนี้ เพื่อให้การลงมติมีความเรียบร้อย และเสร็จสิ้นในวันนี้

แต่ นายจุลพันธ์ อมรวิวิฒน์ ส.ส. เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย แย้งว่า ข้อตกลงดังกล่าวของวิป 3 ฝ่าย ยังไม่เรียบร้อยดี โดยเฉพาะข้อเสนอให้อภิปรายฝ่ายละ 2 ชั่วโมง ก็ถือว่าค่อนข้างจำกัดและปิดกั้น เพราะการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องสำคัญและสังคมกำลังสนใจ เห็นว่าควรอภิปรายกันให้เต็มที่และเป็นไปตามธรรมชาติ เชื่อว่าก็สามารถจบภายในวันนี้ได้

ทำให้ นายชินวรณ์ ลุกขึ้นอภิปรายอีกครั้งว่า หากปล่อยให้อภิปรายเต็มที่เช่นนั้นก็อาจจะเสียเวลามาก จึงตั้งใจเสนอให้นำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ ขึ้นมาพิจารณาก่อน ซึ่งอาจจะเสร็จในไม่นาน แล้วจึงตามด้วยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทำให้นายจุลพันธ์ ยับยั้งไว้ ก่อนจะขอให้ประธานในที่ประชุมดำเนินการ

จากนั้น นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้เสนอร่างฯ ได้อภิปรายเสนอหลักการและเหตุผลของร่างฯ ปลดล็อกท้องถิ่น โดยระบุว่า ผมเป็นตัวแทนของประชาชน 80,772 คน พร้อมยกตัวอย่างกรณีในจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีรายได้เฉลี่ยของประชาชเป็นอันดับรั้งท้ายของประเทศ โดยมีลำดับที่ 62 จาก 77 จังหวัด และยังขาดแคลนน้ำประปาสะอาด พร้อมกับนำขวดที่บรรจุน้ำขุ่นจากตำบลค้อใหญ่ อำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด มาแสดงต่อที่ประชุมด้วย

“ท่านประธานครับ นี่คือตัวอย่างน้ำประปาที่ตำบลค้อใหญ่ นี่คือประเทศไทยศตวรรษที่ 21 ที่ค้อใหญ่เป็นเหมือนอีกหลายตำบลหลายแห่งในประเทศไทย ที่ปัญหาพื้นฐาน เช่น ปัญหาน้ำประปาไม่ได้รับการแก้ไข น้ำประปายังขุ่นข้นบางแห่งกำหนดเวลาเปิดปิดในแต่ละวัน ประชาชนต้องดิ้นรนหาน้ำสะอาดด้วยตนเอง เป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และเป็นต้นทุนเวลาในชีวิตที่มากขึ้น ประชาชนถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่เหมือนอย่างที่โฆษณา”

นายธนาธร เปรียบเทียบกับกรณีของตนเองที่เกิดและเติบโตในกรุงเทพฯ บอกว่าน้ำก๊อกที่บ้าน เมื่อเปิดเมื่อไหร่ก็ใสสะอาด 24 ชั่วโมง พร้อมกับตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงมีเพียงชาวกรุงเทพฯ ที่เข้าถึงน้ำประปาที่สะอาดและมีคุณภาพตลอดเวลา มากกว่าคนต่างจังหวัด ซึ่งมองว่า หากจะตั้งน้ำประปาที่สะอาดและมีคุณภาพต้องใช้งบประมาณถึง 10 ล้านบาท การที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) จะได้งบประมาณมาพัฒนาพื้นที่ ก็ต้องอาศัยการวิ่งเต้นหรือระบบอุปถัมภ์ แลกด้วยการขาดความเป็นอิสระทางการเมือง

“เราเลือกเกิดที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ เราเลือกเกิดที่ค้อใหญ่ไม่ได้ แต่คนไทย 66 ล้านคน ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน ควรจะเข้าถึงน้ำประปาที่สะอาด เสมอภาคกันหรือไม่ คุณภาพชีวิตของคนเราขึ้นอยู่กับโชคชะตาบุญกรรมหรือสถานที่เกิด มันควรจะเป็นอย่างนั้นหรือไม่”

นอกจากตำบลค้อใหญ่ นายธนาธร ยังยกตัวอย่างเทศบาลตำบลดงสิงห์ อำเภอจังหาร จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ชาวบ้านในพื้นที่ต้องทำนาปรัง เพราะเป็นพื้นที่น้ำท่วมขัง โดยเทศบาลดงสิงห์ไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะลงทุนระบบชลประทานเพิ่มเติมได้ด้วยตนเองให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรทั้งหมด

จึงนำมาสู่คำถามว่า ระบบการเมืองปัจจุบันแก้ไขปัญหา และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนได้จริงหรือไม่ ปัญหาน้ำประปาไม่สะอาด ระบบชลประทานไม่ครอบคลุม และถนนหนทางเสียหาย การดำเนินการแบบรัฐราชการรวมศูนย์มีความล่าช้า ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น จนมาทำธุรกิจ กระทั่งเป็นนักการเมือง ปัญหานี้ก็ยังไม่หายไปไหน และอาจจะคงอยู่ไปจนถึงวันที่เราสิ้นชีวิต หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นายธนาธร ได้ยกตัวอย่างความสำเร็จในการกระจายอำนาจของประเทศญี่ปุ่น ที่มีลักษณะการบริหารส่วนท้องถื่นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย โดยความสำเร็จของการพัฒนาประเทศญี่ปุ่นมีหลายขั้นตอน ทั้งการปฏิรูปที่ดิน การพัฒนาอุตสาหกรรม ปฏิรูปโครงสร้างกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้สามารถบริหารได้โดยไม่ต้องขึ้นกับส่วนกลาง นำมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองทางสังคมและเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่แพ้ชาติตะวันตก ซึ่งประเทศไทยสามารถเรียนรู้ได้

นายธนาธร ย้ำว่า ประเทศญี่ปุ่นค้นพบว่าคำตอบอยู่ที่การกระจายอำนาจ จึงเริ่มปรับโครงสร้างรัฐ โครงสร้างการบริหารประเทศครั้งใหญ่อีกรอบ เพื่อเพิ่มอำนาจและทรัพยากรให้กับท้องถิ่น ถือเป็นการกิโยตีนกฎหมายครั้งใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น

“ไม่มีนโยบายใดเป็นยาวิเศษที่จะแก้ไขปัญหาทุกเรื่องให้หมดไปทันที แต่หากจะมีนโยบายสักชุดหนึ่ง ที่จะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยได้ และในขณะเดียวกันยกระดับบริการสาธารณะให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ หากจะมีสักนโยบายหนึ่งทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้พร้อมกัน นั่นคือนโยบายกระจายอำนาจ ลดการรวมศูนย์ของส่วนกลาง”

นายธนาธร ระบุว่าสาระสำคัญของการปฏิรูปอำนาจท้องถิ่น ประกอบด้วย

  1. อำนาจและอิสระในการบริหาร ให้ประชาชนมีสิทธิเลือกผู้บริหารท้องถิ่นของตัวเอง เพราะไม่มีใครรู้ปัญหาของพื้นที่ ดีกว่าคนในพื้นที่ และคนที่มาจากการเลือกตั้งย่อมมีแรงจูงใจในการแก้ปัญหามากกว่า
  2. การจัดสรรงบประมาณที่เป็นธรรม เหมาะสมกับภารกิจที่ได้รับ จากปัจจุบันที่แบ่งรายได้ให้ท้องถิ่น 30% เพิ่มเป็น 50% ขจัดระบบคนกลางวิ่งเต้นของบประมาณ
  3. การทำประชามติปรับโครงสร้างการบริหารประเทศครั้งใหญ่ มีเวลา 5 ปี ในการหาคำตอบร่วมกันเพื่อให้เจอหนทางที่ตกผลึก

“เราอยากสร้างอนาคตแบบนี้ร่วมกันหรือไม่ คำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ เรากล้าฝันเรากล้าทะเยอทะยานที่จะสร้างสังคมแบบนี้ในประเทศไทยหรือไม่ ผมเชื่อว่าการแบ่งสรรอำนาจให้ท้องถิ่นจัดสรรงบประมาณที่เป็นธรรม ตามร่างปลดล็อกท้องถิ่นนี้ จะทำให้เราทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ภายใน 10 ปี 15 ปี”

นายธนาธร กล่าวอีกว่า ผมไม่ได้ประโยชน์อะไรจากร่างกฏหมายฉบับนี้ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศจะได้ประโยชน์ หากทุกคนเห็นด้วยในทิศทางของการกระจายอำนาจ แต่หากทุกคนยังไม่เห็นด้วยในรายละเอียดบางประเด็น ก็ขอให้รับหลักการในวาระนี้ เพื่อพูดคุยกันหาทางประนีประนอมและข้อสรุปที่ทุกฝ่ายสามารถยอมรับได้ด้วยกันหมดในวาระต่อไป เพื่อให้ประเทศไทยเดินต่อไปข้างหน้าได้

“ท่านอาจไม่ชอบผม ไม่เป็นไร ผมไม่ว่ากัน แต่ผมขอให้ทุกท่านดูผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก เสนอร่างฯ ปลดล็อกท้องถิ่นเข้าไป ถ้าหากผ่าน ผมไม่ได้ประโยชน์อะไรจากร่างฯ นี้เลย แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะได้ประโยชน์ ถ้าท่านเห็นด้วยในทิศทางและหลักการกระจายอำนาจ แต่ยังไม่เห็นด้วยในรายละเอียดบางประเด็น ขอให้ทุกท่านรับหลักการในวาระนี้ เพื่อพูดคุยกัน หาทางประนีประนอม ให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ด้วยกันหมดในวาระต่อไป”

Related Posts

Send this to a friend