เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ – กป.อพช. ร้องคัดค้านสถานทูตสหรัฐฯ หลัง ‘อนุทิน – ทรัมป์’ เซ็น MOU แร่หายาก
เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ – กป.อพช. ร้องคัดค้านสถานทูตสหรัฐฯ หลัง ‘อนุทิน – ทรัมป์’ เซ็น MOU แร่หายาก – แร่แรร์เอิร์ธ ยกตัวอย่างแม่น้ำกก ได้รับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม บอก เป็นการกระตุ้นให้ไทยทำเหมืองมากขึ้น ชี้ สหรัฐฯ ไม่ควรมองไทย เป็นพื้นที่ช่วงชิงแร่จากจีน
วันนี้ (30 ต.ค. 68) คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ นำโดยนายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน นางสุภาภรณ์ มาลัยลอย ตัวแทนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ และ นายสุทธิเกียรติ คชโส ตัวแทนเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ เดินทางมายื่นหนังสือตัดค้านบริเวณหน้าสถานทูตาสหรัฐอเมริกา เพื่อขอให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญของโลก ตามที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และนายกรัฐมนตรีของไทย ร่วมกันลงนาม MOU เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.) และเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ มีความเห็น ดังนี้
1.MOU ที่ท่าน และนายกรัฐมนตรีของไทยควรร่วมลงนามร่วมกัน คือ MOU ว่าด้วยความร่วมมือในการแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนที่กระจายเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารจากการดำเนินการทำเหมืองแร่สำคัญ แร่หายาก และแร่อื่น ๆ ในเขตรัฐฉานของประเทศพม่า ซึ่งก่อมลพิษอย่างรุนแรงลงสู่แม่น้ำกก สาย รวก และโขงในประเทศไทย ส่งผลเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน สิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศของประชาชนไทย และประชาชนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างอยู่ในขณะนี้ และในอนาคตอีกยาวไกล
ดังที่สถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย โดยเอกอัครราชทูตคนก่อน ๆ ได้เคยแสดงบทบาทวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของสาธารณรัฐประชาชนจีนในการสร้างเขื่อนจำนวนมากที่ตอนบนของแม่น้ำโขง ซึ่งขัดขวางการไหลของกระแสน้ำมายังลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง และมีความพยายามที่จะระเบิดแก่งแม่น้ำโขงระหว่างพรมแดนไทย และลาว นำมาซึ่งการทำลายระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพครั้งใหญ่ ที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง อันเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศในลุ่มน้ำโขงตอนล่างประสบภัยแล้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบทศวรรษ
2.รัฐบาลไทยในอดีตเคยกระทำผิดพลาดมาแล้วสองครั้งจากการลงนามในสัญญาให้สิทธิสำรวจและผลิตแร่โปแตชในจังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2527 โดยให้สิทธิสำรวจ และทำเหมืองแร่โปแตชครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่มากประมาณ 1.5 ล้านไร่ และสัญญาว่าด้วยการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ แปลงที่สี่ พื้นที่น้ำคิว – ภูขุมทอง เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2534 โดยให้สิทธิสำรวจ และทำเหมืองแร่ทองคำในหลายอำเภอของ จ.เลย บนพื้นที่ขนาดใหญ่ประมาณ 340,615 ไร่ ซึ่งสัญญาทั้งสองกระทำเกินไปกว่ากรอบของบทบัญญัติใด ๆ ในกฎหมายแร่ของไทย อันเป็นกฎหมายหลักในการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้สิทธิสำรวจและทำเหมืองแร่ทุกชนิดและประเภท เนื่องจากเป็นการทำสัญญาจับจองพื้นที่แหล่งแร่เพื่อการสำรวจ และทำเหมืองแร่ล่วงหน้าไว้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับสัมปทานสำรวจแร่ และสัมปทานทำเหมืองแร่ตามกฎหมายแร่ซึ่งเป็นระบบสัมปทานปกติแต่อย่างใด รวมถึงไม่มีบทบัญญัติมาตราใดในกฎหมายแร่ของไทยที่อนุญาตให้ทำสัญญาลักษณะนี้ได้ จึงกลายเป็นสัญญาผูกขาดที่ครอบลงไปในระบบสัมปทานปกติอีกชั้นหนึ่ง อีกทั้งสัญญาทั้งสองมีลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่ง คือ เป็นสัญญานิรันดรที่ไม่ระบุวันสิ้นสุดสัญญาเอาไว้ ต่างกับกฎหมายแร่ของไทยที่ระบุวันสิ้นสุดอายุสัมปทานสำรวจแร่และสัมปทานทำเหมืองแร่เอาไว้ (เช่น อาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจแร่คราวละ 5 ปี ประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่คราวละ 25 – 30 ปี เป็นต้น) จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายไม่ต่างจาก MOU อันเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎหมายแร่ของไทย

3.ทะเลฝั่งอันดามันของไทยมีการเปลี่ยนผ่านอย่างมีนัยสำคัญไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าเรื่องหนึ่ง คือ การพลิกโฉมจากการทำเหมืองแร่ดีบุกไปสู่การท่องเที่ยว ซึ่งการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวต้องแลกมาด้วยความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นมีการเผาโรงงานแทนทาลัมที่ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 ซึ่งแร่แทนทาลัมเป็นแร่สำคัญชนิดหนึ่งใน MOU ดังนั้น MOU จะเกิดการกระตุ้นให้ผืนแผ่นดินภาคต่าง ๆ ของไทยต้องกลายเป็นที่รองรับการลงทุนจากต่างประเทศที่ประสงค์จะเข้ามาทำการขอสัมปทานสำรวจและทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายากมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งในภาคใต้ของไทยนั้น แร่สำคัญอย่างเช่นแทนทาลัม และแร่หายากส่วนใหญ่ มักอยู่ร่วมกับสายแร่ดีบุก
สหรัฐฯ จึงไม่ควรกระตุ้นให้รัฐบาลไทยผลักดันนโยบายจากผลของ MOU ที่จะเปลี่ยนโฉมทะเลอันดามัน ธรรมชาติอันสวยสดงดงาม ไปเป็นเมืองมลพิษจากการทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายาก
4.หากสหรัฐฯ ประสงค์จะลดอิทธิพลและอำนาจผูกขาดของจีนในการครอบครองแร่สำคัญ และแร่หายากของโลก ด้วยการดึงไทยและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียเข้าร่วม เพราะมองเห็นว่าไทยเป็นช่องทางหรือแหล่งนำเข้าแร่สำคัญและแร่หายากจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะจากพม่าและลาวที่จีนครอบครองแบบผูกขาดแร่ดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว เพื่อหวังว่าจะส่งผ่านแร่ดังกล่าวให้กับสหรัฐฯ นั้น MOU จะตอบสนองความประสงค์ของสหรัฐฯไปในทิศทางที่เลวร้าย ก็เพราะว่า MOU จะทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้คุ้มครองและปกป้องเส้นทางนำเข้าแร่สำคัญและแร่หายากจากพม่าและลาวทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายเข้าไทย โดยไม่สนใจว่าการทำเหมืองแร่สำคัญและแร่หายากจากพม่าจะนำมาซึ่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิต ทรัพย์สิน สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศของประชาชนไทยแต่อย่างใด
5.สหรัฐฯ รู้อยู่แล้วว่า แร่สำคัญและแร่หายากหลายชนิดบนผืนแผ่นดินไทยมีจำนวนน้อยมากไม่มีความเข้มข้นพอที่จะคุ้มค่าในการลงทุนเชิงพาณิชย์ ดังปรากฎความโง่เขลาของรัฐบาลไทยเมื่อต้นปี 2567 ที่ประโคมข่าวใหญ่โตว่าไทยเป็นแหล่งแร่ลิเทียมอันดับ 3 ของโลก มีปริมาณสำรองถึง 14.8 ล้านตัน ด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นตัวเลขของแร่ลิเทียมบริสุทธิ์ ทั้งที่ปริมาณดังกล่าวคือแร่ลิเทียมในเนื้อหิน ซึ่งหากสกัดให้บริสุทธิ์แล้วจะได้เพียง 31,080 ตันเท่านั้น ซึ่งเป็นการรีดเลือดปู ต้องแลกกับผลกระทบรุนแรงในทุกด้าน เพราะต้องใช้น้ำ และสารสกัดปริมาณมากที่มีความเป็นพิษสูงมาก และไทยเองก็ยังไม่พร้อมเพราะไม่มีเทคโนโลยีสกัดแร่ลิเทียม แร่สำคัญและแร่หายากชนิดต่าง ๆ ให้บริสุทธิ์ได้

ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา สหรัฐฯ ควรตระหนักถึงความเป็นมิตรต่อประชาชนไทย ที่ลึกซึ้งกินใจมากกว่าความเป็นมิตรเฉพาะรัฐบาลไทย ที่วนเวียนอยู่บนเส้นทางที่กดประชาธิปไตยให้ตกต่ำ ถดถอยและล้าหลังลงทุกวัน สหรัฐฯ จึงไม่ควรมองไทยเป็นสมรภูมิของการต่อสู้ช่วงชิงแร่สำคัญและแร่หายากจากจีน เพราะการกระทำเช่นนี้นำมาซึ่งการทำลายสุขภาวะของประชาชนไทยที่เป็นมิตรต่อท่าน และนำมาซึ่งการร่วมมือกับรัฐบาลไทยในการทำลายสุขภาวะของประชาธิปไตยของประชาชนไทย จึงขอให้สหรัฐฯ ได้ดำเนินการยกเลิก เพิกถอน MOU ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ยังมีการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องสารปนเปื้อนในแม่น้ำกำลัง แม่น้ำสาย แม่น้ำโขง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเดือดร้อนในการใช้น้ำเพื่ออุปโภค – บริโภค หลังจากการเหมืองแร่
นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า เนื้อหาใน MOU ขัดแย้งกับสิ่งที่นายกฯ พูด ว่าไม่มีความสำคัญ สามารถยกเลิกได้ แต่ไปเซ็นทำไมตั้งแต่แรก รี่เป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ต้องการช่วงชิงแร่หายาก ออกไปจากจีน โดยใช้เป็นช่องทางนำแร่เหล่านั้นเข้ามาในไทย และกระตุ้นให้เกิดการทำเหมืองแร่ในไทยให้มากขึ้น การทำเหมืองในเมียนมา ส่งผลต่อประเทศไทยมาก ที่ทำให้ปริมาณสารโลหะหนักในน้ำเพิ่มสูง ส่งผลกระทบต่อคนในบริวเณนั้น จึงคิดว่าควรทำเรื่องการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนมลพิษข้ามพรมแดนก่อน
นายเลิศศักดิ์ กล่าวอีกว่า แร่หายากของไทยมีไม่มาก แต่ MOU นี้ ยังรวมถึงแร่หายากอื่น ๆ ด้วย ที่เรียกว่า Critical Minerals ซึ่งสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ใช่แค่แร่หายากที่ไทยมีน้อย แต่ไทยต้องการแร่หายากจากเพื่อนบ้าน เพื่อใข้เส้นทางของไทยนำเข้ามา เพราะปริมาณแร่หายากในเพื่อนบ้าน ถูกครอบครองโดยจีน ดังนั้น MOU กำลังล้อมกลับไปที่จีน เพื่อหวังว่าไทยจะดึงส่วนแบ่งแร่นำเข้ามาให้สหรัฐฯ บ้าง และยังจะไปกระตุ้นให้เกิดการทำเหมืองแร่มากขึ้น
“การทำ MOU นี้ มองว่าแร่หายากอยู่ในกำมือจีนมากเกินไป กลายเป็นว่า MOU นี้ เป็นการคุ้มครองปกป้องเส้นทางการนำเข้าแร่หายากจากเมียนมา และลาว ให้ประเทศจีน โดยสหรัฐฯ ซึ่งสองมหาอำนาจกำลังกินโต๊ะประเทศไทยอยู่” นายเลิศศักดิ์
ด้านนางสุภาภรณ์ ระบุว่า อยากถามกลับกับนายกรัฐมนตรี ด้วยว่า การตอบว่า MOu ไม่มีความสำคัญ ยกเลิกได้นั้น ทำไมถึงไม่ศึกษาก่อน ประเด็นผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ที่บอกว่าหากกระทบ ก็ยกเลิกได้ ทำไมถึงไม่ปรึกษาหารือก่อน การไปตัดสินใจตรงนี้ ไม่ผ่านกระบวนการที่คนในประเทศทราบก่อนด้วยซ้ำ













