POLITICS

รองอธิบดีอัยการสอบสวน เผยความคืบหน้าคดีตำรวจรีดทรัพย์ 140 ล้าน เผยสอบพยานแล้ว 15 ราย

นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน หัวหน้าชุดคณะทำงานตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวน คดีตำรวจรีดทรัพย์ 140 ล้าน เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนทั้งพนักงานอัยการ และตำรวจ โดยมี พล.ต.ต.กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ รักษาราชการเเทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เป็นผู้เเทน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานการสอบสวน อาคารถนนบรมราชชนนี

นายวัชรินทร์ เปิดเผยว่า คดีนี้เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ซึ่งพนักงานอัยการต้องเข้าร่วมการสอบสวนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตามกฎหมาย โดยก่อนหน้านี้ได้มีการแต่งตั้งคณะพนักงานอัยการเพื่อกำกับดูแลคดีนี้แล้ว แต่ภายหลังมีบางส่วนที่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายไป จึงมีการแต่งตั้งชุดทำงานคณะใหม่ขึ้นมา เดิมทีมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ ก็ได้เปลี่ยนแปลง รวมถึงมีตำรวจพนักงานสอบสวนบางนายไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อได้เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ จากการเข้าตรวจค้นบ้านพักของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา

นายวัชรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอให้ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งแต่งตั้งหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนชุดใหม่เพื่อกำกับดูแลคดีนี้ต่อไป โดยวันนี้คณะพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ตำรวจจะร่วมกันหารือถึงความคืบหน้าทั้งหมด เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินคดี และรวบรวมพยานหลักฐาน จัดทำส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป ยืนยันว่าจะเร่งทำสำนวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เบื้องต้นสอบปากคำพยานในคดีนี้ไปแล้วจำนวน 15 ราย

ทั้งนี้ ตำรวจ สภ.คูคต ได้ดำเนินคดี พล.ต.ต.กัมพล ลีลาประภาภรณ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี และลูกน้อง รวม 10 คน กรณีจับกุมผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนัน แล้วนำตัวไปรีดเงิน 140 ล้านบาท เพื่อแลกกับการเคลียคดี ซึ่งต่อมาพนักงานสอบสวนได้ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.พิจารณา และ ป.ป.ช.ก็มีคำสั่งให้ส่งสำนวนกลับมาให้ชุดพนักงานสอบสวนเดิมทำคดีต่อ

แรกเริ่มเดิมทีต้นเรื่องเป็นของพนักงานสอบสวน สภ. คูคต จากนั้นมีการตั้งคณะทำงานเพิ่มเติมโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติชาติ แต่ในข้อกฎหมายความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.บ.อุ้มหาย จะต้องมีพนักงานอัยการเข้าไปร่วมสอบสวน ซึ่งเดิมทีเป็นอำนาจของสำนักงานอัยการจังหวัดปทุมธานี แต่เนื่องด้วยมีการเกิดเหตุในหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี และเชียงราย ซึ่งอัยการสูงสุด ก็มีคำสั่งให้สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้ทำคดีร่วมสอบสวนกับตำรวจ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานทำสำนวน

Related Posts

Send this to a friend