POLITICS

‘นพ.เปรมศักดิ์‘ เผย ทฤษฎีควบคุมประเทศแบบใหม่ ระบุ หากคุมวุฒิสภาได้ ก็จะคุมองค์กรอิสระได้

‘นพ.เปรมศักดิ์‘ เผย ทฤษฎีควบคุมประเทศแบบใหม่ ระบุ หากคุมวุฒิสภาได้ ก็จะคุมองค์กรอิสระได้ ชี้ อาจกลายเป็นบูมเมอแรงย้อนตัดคอคนขว้าง

วันนี้ (30 พ.ค. 68) นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ลุกขึ้นอภิปรายในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 2 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ว่า องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหม่ ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จนถึงวันนี้นับเป็นเวลา 93 ปี คำว่า “องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ” เกิดขึ้นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญปี 40 และรัฐธรรมนูญปี 50 ก็ตามมาโดยคงไว้ซึ่งอำนาจขององค์กรอิสระ จนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ปี 60 ก็ยังคงไว้เช่นเดิม ซึ่งเหตุที่ยังต้องมีองค์กรอิสระนั้น เนื่องจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแต่ละยุคมองว่า การจะตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาลหรือกลไกใด ๆ ในการบริหารประเทศ แม้กระทั่งสมาชิกรัฐสภาเองก็ต้องมีองค์กรอิสระไว้ควบคุม เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีไว้สำหรับดูแลการเลือกตั้ง ให้เป็นธรรม ไม่ทุจริต แทนหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ซึ่ง นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ที่ทำหน้าที่เป็นประธานในขณะนี้เคยเป็นอธิบดีกรมการปกครองมาก่อน ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีไว้ตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบของหน่วยงานต่าง ๆ ส่วนผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการต่าง ๆ ที่สำคัญอย่างศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นศาลที่มีไว้สำหรับตัดสินข้อขัดแย้งตามรัฐธรรมนูญ และมีผลผูกพันไปทุกองค์กร

จนถึงเวลานี้ การเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยเกิดขึ้น เพราะองค์กรอิสระมาโดยตลอด เดิมทีดูเหมือนเป็นความหวังสำหรับการปฏิรูปการเมือง หลัง ๆ มาชักจะไม่ใช่ เพราะลักษณะของการแต่งตั้งองค์กรอิสระไม่ว่าจะยุคใดมักจะตอบสนองผู้แต่งตั้งหรือผู้มีอำนาจในการเห็นชอบของแต่ละยุคแต่ละสมัยที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีฐานะเป็นผู้ปกครองก็ล้วนแล้วแต่ถูกผลกระทบจากองค์กรอิสระทั้งสิ้น นายกรัฐมนตรีบางท่านได้เสียงเห็นชอบจากประชาชน 14-15 ล้านเสียง แต่ก็ตกกระป๋อง เพราะมติขององค์กรอิสระเพียง 9 คน ทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ทางการเมืองที่บอกว่า การควบคุมประเทศไทยไม่ใช่แบบสมัยก่อน ที่ต้องส่งสมาชิกพรรคลงเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากมาตั้งรัฐบาล เสียงข้างน้อยเป็นฝ่ายค้าน ตรวจสอบควบคุมกัน โดยระบบรัฐสภานั่นเป็นทฤษฎีเก่าที่ล้าสมัยแล้ว

ฉะนั้น ทฤษฎีการควบคุมประเทศไทยวันนี้บอกว่า หาทางให้มีส่วนได้เสียในการแต่งตั้งองค์กรอิสระ ซึ่งคณะปฏิวัติรัฐประหารเอง ได้มีส่วนแต่งตั้งองค์กรอิสระ และปกครองประเทศมาอย่างยาวนานถึง 10 ปี หรือใกล้เคียงตอบสนองต่อผู้แต่งตั้งองค์กรอิสระ เมื่อเป็นเช่นนี้ ในเรื่องที่ร้องเรียนท่านผู้มีอำนาจแต่งตั้งก็ไม่มีความผิด ยกตัวอย่าง กรณีที่รู้กันทั่วประเทศ คือ แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน ก็ไม่ผิด เพราะองค์กรอิสระบอกว่าไม่ผิดทำให้การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ได้ตอบสนองต่อประชาชน วันนี้การเข้ามาควบคุมองค์กรอิสระ กระทำโดยผ่านวุฒิสภา ซึ่งทฤษฎีนี้บอกว่า ถ้าควบคุมวุฒิสภาได้ก็ควบคุมองค์กรอิสระได้ ถ้าควบคุมองค์กรอิสระได้ก็ควบคุมประเทศไทยได้ นี่คือทฤษฎีควบคุมประเทศไทยยุคใหม่ ซึ่งตนเองไม่อยากเห็นว่า เมื่อเราพ้นจากยุคการปฏิวัติรัฐประหารแล้ว เรายังมาเจอรูปแบบใหม่ในการควบคุมองค์กรอิสระโดยสมาชิกวุฒิสภา

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ตนเองห่วงใยว่าเมื่อสมาชิกวุฒิสภาแต่งตั้งไปแล้ว องค์กรอิสระจะอยู่ไป อย่างน้อย 7-9 ปี โดยไม่มีการถอดถอน ไม่เหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 40 และเราต้องอย่าลืมว่า องค์กรอิสระก็เป็นคน มีผิดชอบชั่วดีได้ มีความบกพร่องผิดพลาดได้ จึงให้มีการถอดถอนได้ แต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 60 นี้ ไม่สามารถถอดถอนได้ แต่งตั้งหรืออยู่ไปจนครบวาระ ถ้าไม่ตายหรือลาออก ซึ่งมีโอกาสน้อย

ดังนั้น เราจึงต้องวิเคราะห์ให้ละเอียด เพราะสังคมรอบนอกก็มีความหวั่นใจ ว่าหากใครได้รับความเห็นชอบให้เป็นองค์กรอิสระ แล้วไม่มีการถอดถอนเลย เหมือนกับตีเช็คเปล่า แล้วให้ไปกรอกตัวเลขเอาเอง นี่คืออันตรายที่ตนเองขอเตือนว่า อย่าให้ประเทศชาติของเราถึงทางตันคนเสื่อมศรัทธาต่อองค์กรอิสระ เพราะกระบวนการแต่งตั้งเรามีปัญหาเรื่องที่มา ที่อยู่ในระบบของการสืบสวนไต่สวนของ กกต. เช่น ในวันนี้ก็มีการประกาศเพิ่มเติมของผู้ที่ถูกกล่าวหาอีก 22 คน รวมแล้วเป็น 127 คน ในขณะที่เรามีสมาชิกวุฒิสภา 200 คน เรื่องอย่างนี้ต้องระวัง เพราะหากไม่ระวังแล้วเกิดเหตุเพศภัยทีหลัง จะเหมือนอย่างที่ ศ.พิเศษจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้กล่าวไว้

“ด้วยความห่วงใย ผมไม่อยากให้เราเดินตกกับดักตรงนี้ เพราะเราเพิ่งมีโอกาสมีประชาธิปไตยเต็มใบ มี สส. สว. อย่างเต็มรูปแบบในคราวนี้เพียงแค่ 2 เท่านั้น จึงไม่ควรทำให้ทฤษฎีการควบคุมประเทศไทยยุคใหม่เกิดขึ้น ในฐานะที่เป็น สว.ด้วยกัน เรามองเห็นว่า จะเดินตกกับดักนี้ เราชะลออีกสักนิดนึงได้ไหมครับ ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย เพราะ ถ้าพิสูจน์ข้อกล่าวหาเสร็จ เรามาดำเนินการตรงนี้จะเป็นเรื่องที่สง่างาม และไม่มีใครว่าอะไรเราได้เลย หากเรายังดึงดันต่อไปไม่ใช่ว่าจะปลอดโปร่งโล่งตลอด เพราะองค์กรอิสระเหล่านี้ที่เราจะแต่งตั้ง ไม่ว่าจะคณะกรรมาธิการตรวจสอบจริยธรรมก็ดีหรือให้ความเห็นชอบ ป.ป.ช. ก็ดี ไม่สิ้นสุดแค่เรา เพราะตามกฎหมายแล้ว จะต้องทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธยเป็นที่ชั้นสุดท้าย จึงขอเรียกร้องว่า เราควรกลั่นกรองให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ก่อนที่จะทูลเกล้าฯ ดีไหมครับ เราจึงไม่ควรจะทำอะไรให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ดีไหมครับ นี่คือเสียงที่ผมเตือนไว้ เพราะถ้าเราไม่บอกก่อน ก็จะไม่เหมือนคนที่อยู่ในบ้านเดียวกัน ก่อนที่จะเกิดภัยอย่างรุนแรง” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว

นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวอีกว่า หลายคนอาจยังไม่เข้าใจคำเตือนของตนเองที่เคยไปพูดว่า ทำไมจะประชุมไม่ได้ ถ้าไม่ประชุมถึงจะผิดมาตรา 157 เป็นการใช้ตรรกะในทางที่ผิด ถ้าตนเองเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นผู้ต้องหามีหมายจับปรากฏตัวต่อหน้าแล้วไม่จับ นี่ถือเป็นความผิดตาม 157 เพราะนี่คือการประชุมสมัยวิสามัญ ซึ่งจริง ๆ ไม่ต้องบรรจุเรื่องนี้เข้ามาก็ได้ รอไปถึงสมัยสามัญก็ได้

ดังนั้น จึงผิดตั้งแต่เอาเรื่องเข้าประชุมบรรจุระเบียบวาระแล้วมาบอกสมาชิกว่าให้ผ่าน ๆ ไปเถอะ ไม่งั้นเราโดน 157 กันหมด ถ้าเป็นอย่างนี้ ตนเองก็ยินดีจะถูก 157 การพิจารณานี้ไม่สำคัญว่าจะช้าหรือเร็ว แต่สำคัญว่าองค์กรอิสระที่จะผ่านความคิดชอบของที่ประชุมวุฒิสภาแห่งนี้ต้องสง่างาม และเป็นสิ่งที่ยอมรับของสังคมภายนอก เพราะอย่าลืมว่าวุฒิสภาจะอยู่ได้ต้องอาศัยศรัทธาของประชาชนไม่ใช่อยู่ได้เพราะเสียงส่วนใหญ่หรือเพราะสวนกระแสประชาชนจะเป็นปัญหา และถึงวันนั้นเราจะมาเสียใจได้

“ถ้าเราทำอย่างสุกเอาเผากิน ไม่ฟังเสียงทักท้วง ถึงฟังเสียงใครทั้งสิ้น จะเหมือนเครื่องมือ ที่เรียกว่าบูมเมอแรง มันอยู่ในมือเรา เราจะเก็บไว้ก็ได้ รอโอกาสที่จะทำประโยชน์ต่อไปก็ได้ แต่ถ้าเรารีบขว้าง ยิ่งขว้างไปแรง และกลับมาเร็ว มาเร็วมาที่ไหน มาตัดคอคนที่ขว้างนั่นแหละ” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat