‘ดนุพร’ ถามจุดยืนรัฐบาล ต่อปัญหายาเสพติด – ภัยไซเบอร์ หลังคำแถลงนโยบายยังไม่ชัด
‘ดนุพร’ ถามจุดยืนรัฐบาลชุดนี้ ต่อปัญหายาเสพติด – ภัยไซเบอร์ หลังคำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภายังไม่ชัด ยก ‘ภูมิธรรม’ เทียบ ‘อนุทิน’ รมว.มหาดไทย ผลงานต่างกันกว่าเท่าตัว เหน็บ “นโยบายพูดแล้วทำ ถ้าไม่พูดแปลว่าไม่ทำใช่หรือไม่” ชี้ ไหน ๆ ก็ทำประชามติยกเลิก MOU 43-44 แล้ว ขอให้ทำประชามติเรื่องกัญชาด้วย ว่าควรกลับไปเป็นยาเสพติดหรือไม่
วันนี้ (29 ก.ย. 68) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วน 1 คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานในการประชุม
นายดนุพร ปุณณกันต์ สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา ว่า หลายท่านที่อยู่ที่นี้ ตั้งข้อสังเกตว่าคำแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ มีคำว่ายาเสพติดเพียง 2 คำเท่านั้น จากคำแถลงนโยบายหลาย 10 หน้าที่ส่งให้สมาชิกรัฐสภา ตนสงสัยว่ารัฐบาลชุดนี้มีจุดยืนเกี่ยวกับการปราบปรามยาเสพติดอย่างไร และจะให้ความสำคัญมากกับเรื่องที่ดิน หรือให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องคดีฮั้วต่างๆ ที่พูดถึงกันอย่างมากมายในสังคมที่กว้างขวางหรือไม่
หากดูคำแถลงนโยบาย กับผลงานของรัฐมนตรีชุดนี้ในอดีตที่ผ่านมา ในสมัยที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งในขณะนั้นจะสังเกตุเห็นว่ากระทรวงมหาดไทยไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเอ็กซเรย์ หรือการจับกุมผู้ผลิต ผู้ค้า ในประเทศเท่าที่ควร เต็มที่ก็ปล่อยให้ ป.ป.ส. และตำรวจจัดการเท่านั้น ซึ่งจากพรรคเพื่อไทยได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยมาดูแลเอง ให้นายภูมิธรรม เวชยชัย มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เริ่มโครงการ “No Drugs No Dealers” ผลักดันการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้เป็นวาระของประเทศชาติ เป็นวาระของจังหวัด อำเภอ และชุมชน เพื่อปฏิบัติการกวาดล้างยาเสพติดอย่างจริงจัง ที่ต้องเป็นชุมชนปลอดยาเสพติดไม่มีทั้งผู้ค้า และผู้เสพ
นายดนุพร เปิดตารางการจับกุมผู้ค้ายาเสพติด ก่อนสมัยที่นายภูมิธรรมเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งจับได้เพียง 9,400 กว่าราย แต่หลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนวันที่ 18 ก.ค. 68 ภายในไม่กี่เดือนเราจับได้ 13,431 ราย เพิ่มขึ้นมาได้หลายพันคน และนโยบายยาเสพติดภายใต้พรรคเพื่อไทยได้ผล กวาดล้างผู้ติดยาเสพติดไม่กี่เดือนได้จำนวนมาเกือบเท่าตัวของในอดีตที่ผ่านมา
นายดนุพร กล่าวต่อว่า ตั้งแต่ที่มีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย มีการบูรณาการของทุกฝ่ายทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ และสาธารณสุข ขับเคลื่อนปัญหายาเสพติดได้ครบทุกมิติ และป้องกันยาเสพติดไม่ให้เข้าภายในประเทศ หน่วยงานความมั่นคงต่างๆ ที่เชิญมาคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด ก็บอกเช่นกันว่านโยบายนี้เป็นนโยบายที่ดี และได้ผล รวมถึงมีการส่งมอบผู้ค้ายาเสพติดเพิ่ม ในระยะเวลาไม่ถึงเดือน 13,413 ราย ซึ่งเป็นนโยบายที่จริงจัง จึงเกิดคำถามว่า ที่ผ่านมา 2 ปี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีมหาดไทยนั้น ทำอะไรอยู่ และวันนี้ก็ได้คำตอบแล้วหลังจากที่ฟังคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา จึงไม่แน่ใจว่านายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่
“มองไปได้ ว่านโยบายของท่านในตอนหาเสียงที่บอกว่าพูดแล้วทำ ในเมื่อที่ท่านไม่พูดก็แปลว่าท่านไม่ทำหรือเปล่า หรือว่าเป็นไปได้ที่ท่านสั่งไปแล้ว เสร็จเมื่อวาน ก็เลยไม่มีการใช้คำว่ายาเสพติด เป็นวาระหลักๆ ในการแถลงนโยบายวันนี้” นายดนุพร กล่าว
อีกทั้งตามที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงว่าจะแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบาย ที่ได้กำหนดไว้ ตนก็เห็นด้วยว่าเป็นการสร้างรายได้และลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน แต่เศรษฐกิจของประเทศไทยจะดีขึ้นได้ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายภาคส่วน และประชาชนอยู่ในสมการนี้ด้วย หมายความว่าถ้าประเทศนี้ยังปล่อยให้ประชาชนตกเป็นทาสยาเสพติด ท่านก็คิดดูว่าคุณภาพของประชาชน และเยาวชนในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
นายดนุพร กล่าวอีกว่า ตนจึงสงสัยว่าทำไมในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ไม่ค่อยมีคำว่ายาเสพติดเท่าไหร่นัก จึงไปเจอวันที่ 9 มิ.ย. 2565 หากดูเผินๆ เหมือนวันธรรมดา คนคงไม่ทราบว่าคือวันอะไร แต่คนที่ทราบก็คือนายอนุทิน เพราะตอนนั้นนายอนุทินดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทย และเป็นวันที่ปลดล็อคกัญชาของประเทศไทย ซึ่งเราเป็นชาติแรกในเอเชียที่ลดทอนความผิดจากการปลูกและครอบครอง และยังมีนโยบายในการหาเสียงเมื่อปี 66 ที่จะแจกให้กับเกษตรกร ตนก็มีโอกาสได้ไปฟังการปราศรัยของนายอนุทินว่า กัญชาปลูกได้บ้านละ 6 ต้น เพื่อให้มีรายได้ และหากอยู่ที่บ้านก็สามารถนำมาพี้ต่อได้ นี่คือ นโยบายเศรษฐกิจภายใต้การนำของท่านในระยะเวลา 4 เดือนกว่าๆ ที่เหลืออยู่
นอกจากนั้น หากไปดูในอดีตหลังจากที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีได้รับตำแหน่งแล้ว นายอนุทินก็เป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อมีนักข่าวไปสัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 23 ก.ค. 68 ท่านก็บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการนำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด สิ่งเหล่านี้จึงนำไปสู่การตั้งคำถามและข้อสงสัยว่า รัฐบาลชุดนี้จะเห็นด้วยและปราบปรามเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังหรือไม่
“แต่สิ่งที่ท่านทำมาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทำให้ผมเกิดข้อสงสัย และคำถามมากมาย ว่าท่านจะปราบปรามเรื่องนี้อย่างจริงจังหรือไม่ เรื่องนี้ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ ท่านรัฐมนตรีพาณิชย์นั่งอยู่ตรงนี้ก็บอกอยากจะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ อยากจะส่งออก แต่ถ้าเกิดประชาชนเยาวชนของเราไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด มีปัญหาแน่นอน เศรษฐกิจที่ท่านบอกมีเวลา เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจเพียงไม่กี่เดือนนั้น ท่านไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้” นายดนุพร
นายดนุพร กล่าวอีกว่า ตนไม่ทราบว่าผู้นำต่างชาติจะมองนายกรัฐมนตรีอย่างไรในสายตาเวทีโลก เพราะท่านเองเป็นคนที่มีส่วนสำคัญในการนำกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด และข่าวต่างประเทศก็เคยลงเรื่องนี้ เพราะตนก็เป็นห่วงและรักในศักดิ์ศรีของผู้นำประเทศเรา ให้เขามองประเทศไทยเป็นเมืองที่ปลอดยาเสพติดอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ ท่านบอกว่า ท่านเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อที่จะแก้ปัญหาที่รัฐบาลเก่าทำไว้ ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลปัจจุบันต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาในรัฐบาลอดีตที่ทำไว้ ซึ่งรัฐบาลนายเศรษฐาก็ต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาการเงินการคลังที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เจอวิกฤตในเรื่องโควิด มีรัฐบาลในอดีตที่ลอยตัวค่าเงิน รัฐบาลต่อมาก็มาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และถามว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ต้องแก้ปัญหาที่ท่านก่อไว้หรือ ในเรื่องของกัญชา
นายดนุพร กล่าวต่อว่า ทันทีที่นายอนุทินได้พ้นจากตำแหน่ง รมว.มหาดไทย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ลงนามในการควบคุมช่อดอกกัญชาเพื่อใช้ในการแพทย์เท่านั้น และเดินหน้าเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด และเมื่อวันนี้ท่านเป็นนายกฯ ตนก็ไม่แน่ใจว่า นโยบายนี้จะมีผลหรือไม่ หรืออาจจะยกเลิกไปแล้ว ซึ่งท่านแถลงว่า อยากฟังเสียงประชาชนเป็นใหญ่ และมีการแถลงจะทำประชามติยกเลิก MOU 43 และ 44 ในไหนก็ทำแล้วก็ลองทำประชามติในหัวข้อที่ว่า อยากจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติดหรือไม่ ก็ขอให้ลองถามประชาชนดูจะได้คำตอบว่า สิ่งที่ท่านใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงในอดีตมาถูกทางหรือผิดทาง เพราะการทำให้ร้านกัญชาถูกกฎหมายทำให้มีร้านกัญชาเพิ่มขึ้นกว่า 18,700 ร้านทั่วประเทศ และบางร้านอยู่ใกล้แหล่งชุมชน และสถานศึกษาซื้อง่ายขายคล่อง เข้าถึงง่าย และเป็นสิ่งที่จะมอมเมาพี่น้องประชาชน และเป็นสิ่งที่ท่านฝากไว้กับประเทศไทยเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคท่าน
ส่วนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาก็ไม่มีเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว มีแต่คำว่าภัยไซเบอร์กล่าวถึงอย่างกว้างๆ และอดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะในรัฐบาลที่ผ่านมาเราให้ความสำคัญเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาคอลเซ็นเตอร์อย่างมาก ทั้งการยกระดับศูนย์ต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ โดยมีการพัฒนาระบบอายัดบัญชีคนร้าย และติดตามกระบวนการความคืบหน้าการคืนเงิน เพื่อนำเงินคืนผู้เสียหายอย่างรวดเร็ว และเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีการหว่านแห ที่ไปกวาดเอาบัญชีม้าไปเจอคนปกติด้วย
ตนจึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาในกรรมาธิการ พบว่า มีการโทรศัพท์ 13,495 สาย มีการปลดออกจากบัญชีม้าเพียงแค่ 500 สาย ตำรวจแจ้งว่าที่เหลือน่าจะเป็นบัญชีม้า ซึ่งเกิดคำถามว่า AOC 1441 ที่มีปัญหา และแก้ไขมีประโยชน์หรือไม่ ตนต้องเรียนว่า AOC คว้ารางวัลที่หนึ่งของโลกในการสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยต่อการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารจาก ITU เป็น 1 ใน 19 โครงการที่ชนะเลิศ ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่ดี และหวังว่านายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะนำเรื่องนี้ไปดำเนินการต่อ และยังไม่รวมเรื่องการพนันที่ผิดกฎหมาย ที่สมัยท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะสามารถจับกุมรายใหญ่ได้ แต่เมื่อนายภูมิธรรมอยู่ก็ปิดบ่อนชื่อดังได้ และวันนี้เราหยุดยั้งได้ และเราอยากให้ท่านให้ความสำคัญ แม้จะบอกว่าเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจอยู่ไม่กี่เดือน ใช้เวลาปราบปรามยาเสพติด ภัยสังคมออนไลน์ อย่างจริงจัง
“ถึงแม้ว่าผมเข้าใจดี MOU ที่ท่านไปเซ็นมากับพรรคประชาชน ที่เลือกมาบอกให้ยุบสภา ไม่ใช่ให้มาบริหาร แต่ท่านก็ขอขัดใจหัวหน้าพรรคประชาชนว่าจะขอบริหารหน่อย ผมว่าผมก็อยากเห็นว่าใน 4 เดือนที่เหลือในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีของท่านจะดำเนินการอย่างไร ผมเรียนว่า พรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้านตัวจริง เราก็จะไม่อุ้มท่านโดยไร้เหตุผล แต่เราจะคอยดูการบริหารของท่านนายกฯ ที่ชื่ออนุทิน ชาญวีรกูล อย่างใกล้ชิด เราจะติดตามตรวจสอบทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่ทำร้ายเยาวชนและพี่น้องประชาชนอย่างเรื่องของยาเสพติดอย่างใกล้ชิด และขอฝากความหวังของประเทศไว้กับท่านนายกฯ และรัฐบาลชุดนี้ที่มีเวลาเพียงแค่ 4 เดือน” นายดนุพร กล่าวทิ้งท้าย












