‘คารม’ ยืนยัน ทำงานเพื่อประชาชน แม้ถูกเรียก ‘งูเห่า’

‘คารม’ เข้าสักการะสิ่งศักดิ์ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังได้รับตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาล ยืนยันทำงานเพื่อประชาชน แม้ถูกเรียก ‘งูเห่า’

วันนี้ (27 ก.ย. 66) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกรัฐบาล เข้าสักการะศาลตายาย และศาลพระพรหมด้านบนตึกไทยคู่ฟ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล ภายหลังจากที่คณะรัฐในตรีมีมติเห็นชอบให้นายคารมเป็นรองโฆษกรัฐบาล ตามโควตาในสัดส่วนพรรคภูมิใจไทย

นายคารม กล่าวว่า ดีใจและขอบคุณผู้บริหารพรรคทั้ง นายอนุทิน ชาวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รวมถึงผู้ใหญ่ในพรรคที่วางใจให้ตนมาทำงาน ถือเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ใหม่ เป็นนักกฎหมายไม่ได้เรียนสื่อสารมวลชนมา แต่จากการที่อยู่กับสื่อมวลชนมาสี่ปีและอยู่ในวงการการเมืองมามากกว่า 20 ปี จะพยายามทำหน้าที่เพื่อสื่อสารไปยังประชาชนให้เกิดความเข้าใจไม่ให้มีปัญหาให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

นายคารม ยังระบุว่า ภายหลังได้รับตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาล ตนอ่านตามสื่อก็มีความรู้สึกว่ามีสิ่งที่เป็นแผลเป็น เพราะบอกว่าตนเป็นงูเห่า ย้ำว่าตั้งใจเข้ามาทำงานในหน้าที่ใหม่จากฝ่ายนิติบัญญัติมาเป็นฝ่ายบริหารที่ต้องทำงานสอดคล้องกับโฆษกรัฐบาล โดยจะดูในภาพรวมแต่เน้นไปในส่วนที่พรรคภูมิใจไทยเป็นผู้บริหารและรับผิดชอบ

ทั้งนี้ นายคารม กล่าวว่า ตนเองไม่ค่อยสบายใจกับคำว่า ‘งูเห่า’ ตนย้ายพรรคเพราะทำงานร่วมกันไม่ได้ ทำแล้วไม่มีความสบายใจ จึงย้ายไปอยู่พรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นช่วงที่ยุบสภาแล้ว แม้จะรู้สึกเป็นแผลเป็น แต่ยืนยันว่าตนทำงานเพื่อประชาชนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่เป็นทนายเสื้อแดงจนมาเป็น สส.

นอกจากนี้ นายคารม ยังขอบคุณนายปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ที่ทำให้ตนได้เข้าสู่วงการการเมืองและเดินมาจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี นายคารม เปิดเผยว่า เหตุผลที่พรรคภูมิใจไทยมอบหมายให้ตนรับตำแหน่ง ตนมองว่าตั้งแต่ย้ายมาอยู่พรรคภูมิใจไทยเพราะอยากอยู่บ้านหลังนี้ แม้จะแพ้การเลือกตั้งจาก สส.พรรคเพื่อไทย แต่มีคะแนนมาเป็นลำดับสอง ชนะผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล 4,000 คะแนน แสดงว่าครั้งที่ตนชนะการเลือกตั้งตอนอยู่พรรคอนาคตใหม่ กระแสก็เป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งผู้ใหญ่อาจจะมองเห็นตรงนี้ ตนไม่ใช่คนเก่ง แต่เรียนรู้ มีเหตุมีผล และขณะนี้ไม่ใช่บทบาทที่จะไปแขวะใคร เพราะเป็นบุคคลสาธารณะแล้ว ยอมรับว่า อายุ 60 ความใจร้อนก็ลดลง ยืนยันว่าทำงานไหว