POLITICS

พปชร. ย้ำ MOU 43-44 ทำไทยเสียเปรียบทั้งกฎหมาย เขตแดน และทรัพยากร

พปชร. ย้ำ MOU 43 และ 44 ทำไทยเสียเปรียบทั้งกฎหมาย เขตแดน และทรัพยากรธรรมชาติ จี้ทุกฝ่าย เร่งเปิดเจรจาทำ MOU ใหม่ ปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ประเทศ

วันนี้ (27 ส.ค. 68) ดร.มล.กรกสิวัฒน์ เกษมศรี รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงกรณีบันทึกความเข้าใจ (MOU) ไทย–กัมพูชา ปี 2543 และ 2544 ปัญหาที่สำคัญคือเรื่องเอกสาร และแผนที่ที่ใช้กำหนดเขตแดน ซึ่งนำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสทำฝ่ายเดียวมาใช้ ไม่สอดคล้องกับเส้นสันปันน้ำตามสนธิสัญญา 1904 และ 1907 โดยไทยไม่มีโอกาสตรวจสอบก่อน ทำให้ไทยเสียเปรียบในการเจรจา ขณะที่แผนที่ 1:50,000 ของไทย ถูกต้องกว่า กลับไม่ได้บรรจุใน MOU ส่งผลให้กัมพูชาอ้างสิทธิ์พื้นที่โดยง่าย

ดร.มล.กรกสิวัฒน์ กล่าวว่า MOU 2544 สร้างความเสียหายรุนแรงกว่า MOU 2543 เพราะกัมพูชาขีดเส้นเขตทางทะเลเอง ข้ามพื้นที่เกาะกูดเข้าสู่น่านน้ำไทย ซึ่งผิดกฎหมายสากล ไม่มีประเทศใดยอมรับ และยังขัดกับพระบรมราชโองการในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำให้ไทยเสี่ยงเสียสิทธิ์ในพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะและทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย มูลค่ากว่า 20 ล้านล้านบาท

ดร.มล.กรกสิวัฒน์ ย้ำว่า MOU ทั้งสองฉบับไม่เคยผ่านการให้สัตยาบันจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญปี 2540, 2550 และ 2560 จึงเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น การดำเนินการโดยไม่มีความเห็นชอบจากรัฐสภาทำให้ไทยเสียเปรียบและไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เพราะกัมพูชาถือสิทธิ์ตาม MOU เดิม ไม่ยอมเจรจาใหม่

“ทางออกที่ถูกต้องคือไทยต้องยกเลิก MOU 43 และ 44 อย่างเป็นทางการ และแจ้งให้กัมพูชาทราบว่าจำเป็นต้องร่าง MOU ฉบับใหม่ ภายใต้กระบวนการรัฐสภาและหลักกฎหมายสากล เพื่อให้การแบ่งเขตแดนและการใช้ทรัพยากรเป็นธรรม โปร่งใส และคุ้มครองผลประโยชน์สูงสุดของชาติ” ดร.มล.กรกสิวัฒน์ กล่าว

Related Posts

Send this to a friend