‘สมศักดิ์’ แจงยังไม่ชี้ขาดโทษ 3 แพทย์คดีทักษิณ รอความเห็น คกก.ก่อนตัดสิน

‘สมศักดิ์’ แจงยังไม่ชี้ขาดโทษ 3 แพทย์คดีทักษิณ รอความเห็นคณะกรรมการก่อนตัดสิน – ชี้ข้อสงสัยเพียบ ขอข้อมูลเพิ่มแต่ยังไม่ได้รับ ยัน ทำอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันความผิดตาม ม.157
วันนี้ (27 พ.ค. 68) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการพิจารณามติของแพทยสภา ในการลงโทษ 3 แพทย์ เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่า มติดังกล่าวส่งมาให้ตนเองตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 29 พฤษภาคมนี้ และตามความเห็นของคณะกรรมการเสนอความเห็นสภานายกพิเศษ ที่ตนเองตั้งขึ้นมาได้มีการส่งมาให้แล้ว แต่ยังไม่ได้ทำการพิจารณา และคาดว่าในช่วงเย็นวันนี้ จะพิจารณา แต่ตนเองจะพยายามดูแนวทางต่าง ๆ ของการทำงาน เมื่อเราให้คณะกรรมการชุดนี้เข้าไปพิจารณา ที่มีทั้งนักกฎหมายและแพทย์วิธีดำเนินการและเอกสารที่แพทยสภา มีสิ่งใดที่จะต้องพิจารณาว่า จะวีโต้ (ยับยั้งหรือปฏิเสธ) หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเห็นของคณะกรรมการเพื่อเป็นแนวทาง โดยหากความเห็นของคณะกรรมการไม่ตรงกับความเห็นของแพทยสภา ซึ่งแพทย์นั้นมีเครดิตอยู่แล้ว แต่ถ้าจะมองว่าเป็นความเห็นย้อนแย้งหรือไม่ ตนเองไม่กล้าที่จะคิดคนเดียว จึงต้องตั้งคณะกรรมการเข้ามาช่วยดู หากคณะกรรมการเห็นเป็นแนวทางใด แนวทางก็จะเป็นเช่นนั้น
ส่วนเหตุใดจึงไม่ให้อาจารย์แพทย์เป็นผู้พิจารณา นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หากให้อาจารย์แพทย์เป็นผู้พิจารณา แล้วจะมีแพทยสภาไว้ทำไม เพราะมีแพทย์คนเดียวที่สามารถชี้นำได้ ซึ่งความเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง ที่จะมีการชี้นำ หากเราเชื่อ แล้วก็จะผิดไปทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ประมาท และช่วยกันตรวจสอบดู ซึ่งไม่ต้องเชื่อตนเอง และไม่ต้องเชื่อใคร แต่ต้องเชื่อข้อเท็จจริงตามเอกสาร และดูแนวทางตามกฎหมายตามความรู้ของแพทย์
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่าคณะกรรมการ ชุดดังกล่าวนี้เสียงแตก รวมถึงล่าสุด ที่มีการขอเอกสารเพิ่มเติมจากแพทยสภากลับไม่มีการส่งให้นั้น นายสมศักดิ์กล่าวว่า ในการพิจารณามติของแพทยสภามีคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องอยู่ 4 ชุด ซึ่งมีมติให้ลงโทษ ซึ่งคณะกรรมการชุดที่ 2 มีความเห็นมาส่วนหนึ่ง ที่เกี่ยวกับการลงโทษ แต่ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนของกรรมการแพทยสภา ซึ่งมีการนำโทษที่เกิดขึ้นมาพิจารณานั้น เรามีความสงสัยว่า ถูกพิจารณาในอนุกรรมการด้านจริยธรรม ก่อนที่จะนำเข้าสู่คณะกรรมการชุดใหญ่หรือไม่ จึงทำการขอเอกสารแต่ก็ได้รับคำตอบว่า เอกสารที่ส่งให้เพียงพอแล้ว เราจึงต้องทำงานหนัก ซึ่งหากพิจารณาผิด หรือกลั่นแกล้งก็จะเกิดการฟ้องร้องทีหลัง จึงต้องหลีกเลี่ยง และตามกฎหมายอาญา มาตรา 157 ก็จะมีผลกับหลายคนด้วย ส่วนที่กรรมการเสียงแตก แล้วต้องตีกลับให้ทำเอกสารเหมือนกันทั้งหมดนั้น ไม่มีหรอก เพราะความเห็นของคณะกรรมการทั้ง 10 คน ความเห็นตามหลักการเช่นเดียวกับการพิจารณาขององค์กรอิสระ ซึ่งบางองค์กรจะมีความเห็นแยกเป็นรายบุคคล ประธานจะรวบรวมความเห็น เสียงส่วนใหญ่เป็นอย่างไร ซึ่งก็พยายามทำตามแนวทางของกฎหมายที่มีอยู่ ยืนยันว่าตนจะไม่คิดเองแต่จะพูดตามกฎหมายในส่วนของแพทย์ ส่วนเสียงจะแตกหรือไม่นั้น สามารถมีความเห็นต่างได้ แต่ต้องมีมติออกมา
ส่วนมีมติออกมาแล้วคณะกรรมการมีความเห็นส่วนใหญ่ให้วีโต้ จะยืนตามแนวทางนั้นหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องพิจารณาดู แต่ในแนวปฏิบัติก็คงต้องเชื่อเขา แต่หากออกมาแล้วจะทำให้มีความเห็น ที่เกิดความรุนแรงมากมาย ก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ เพราะยังพอมีเวลา อย่าไปคิดเอง
ส่วนมีข้อกังขาถึงบุคคลที่แต่งตั้งคณะกรรมการเพราะบางคนมีการแสดงออกเชิงสนับสนุนนายทักษิณนั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้มาจากหลากหลาย บางคนที่ตอนเชิญมาก็ไม่มา หรือไม่มีความพร้อมก็มี เราจึงนำคนที่มีความพร้อม เข้ามาพูดคุยและดูในแนวทางต่าง ๆ ซึ่งแต่ละคนคงไม่มีความเห็นที่เหมือนกันทั้งหมด และเมื่อตั้งเข้ามาแล้วก็ต้องรับฟังความเห็นของเขา
ส่วนกระแสสังคมที่เอนเอียงไปทางมติของแพทยสภาแล้ว จะกดดันหรือไม่ และหากมีการวีโต้จะทำให้เกิดผลเสียต่อตัวรัฐมนตรีหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จะเสียอะไร ตนเองดำเนินการตามข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง
เมื่อถามย้ำว่า ความเห็นจะส่งมาเห็นแย้งเป็นรายบุคคลได้หรือไม่ หรือจะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งหมด นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนเองยังไม่เห็นรายละเอียด อย่าเพิ่งไปคิดเองเขียนออกนอกลู่นอกทาง ปากคนยาวกว่านกกา ทั้งนี้เมื่อเขาส่งเรื่องมา เป็นเรื่องของคน 4 คนถือว่ามี 4 เรื่อง ซึ่งตามความคิดตนจึงต้องมี 4 เรื่อง จะใช่หรือไม่นั้นตนต้องถามทางแพทยสภา
นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนเอกสารบางอย่างที่ควรได้รับแต่ยังไม่ได้รับนั้น ตามขั้นตอนการตรวจสอบของกรรมการ 4 ชุด ซึ่งก่อนที่จะมาถึงคณะกรรมการแพทยสภามีการเปลี่ยนอัตราโทษ ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่น่าสนใจ แต่เรากลับไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจน ซึ่งขอให้ความเป็นธรรมกับตนด้วย