POLITICS

รองโฆษก เผย นายกฯ เร่งเดินหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา คาดเริ่มก่อสร้างต้นปี 66

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ล่าสุดเผย “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เร่งเดินหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก เริ่มก่อสร้างต้นปี 66 นี้แน่นอน สร้างผลตอบแทน 3.05 แสนล้าน จ้างงานเพิ่ม 15,600 ตำแหน่ง/ปีใน 5 ปีแรก ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโตฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบิน

น.ส.ทิพานัน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบาย เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(กพอ.)ให้ความสำคัญเดินหน้าปฏิรูปประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้าและการลงทุนในทุกมิติ โครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ถือเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญเร่งด่วน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุน ระหว่างประเทศไทยกับต่างประเทศ จึงเร่งผลักดันโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญของ EEC เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภา เป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลัก แห่งที่ 3 เชื่อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ด้วยรถไฟความเร็วสูง ทำให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสาร รวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี ทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และ Logistics & Aviation เป็นศูนย์กลางของ “มหานครการบินภาคตะวันออก” รวมถึงเป็น “เมืองท่าที่สำคัญ” เชื่อมโยงขยายกรุงเทพไปทางตะวันออก ทั้งทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6,500 ไร่ ตั้งอยู่ใน ต.พลา อ.บ้านฉาง จังหวัดระยอง เป็นโครงการในรูปแบบ PPP มีมูลค่าการมูลค่าการลงทุน รวมประมาณ 290,000 ล้านบาท ล่าสุดเมื่อวันพุธที่ 28 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา ที่ประชุมกพอ.ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธาน ได้รับทราบและพิจารณาความก้าวหน้า ของโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก หลังจากเอกชนคู่สัญญา และกองทัพเรือ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการใช้สนามบินอู่ตะเภาร่วมกัน (Joint Use Agreement) และรายงาน EHIA ได้รับการอนุมัติจาก คณะรัฐมนตรี โดย สกพอ.ได้แจ้งให้เอกชนรับสิทธิตามสัญญาแล้ว เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 จากนี้ สกพอ.จะแจ้งให้เอกชนเริ่มงานก่อสร้างได้ในช่วงต้นปี 2566 หลังจากเงื่อนไขบังคับก่อนตามสัญญาร่วมลงทุนครบถ้วน

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สนามบินอู่ตะเภาตั้งเป้าหมาย ให้รองรับผู้โดยสารสูงสุดได้ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านคนต่อปี โดยโครงการจะมีการลงทุนในด้านต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการให้บริการสนามบินเชิงพาณิชย์ การพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมการบิน ซึ่งจะสร้างบรรยากาศการลงทุน ที่จูงใจภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ในการขยายการลงทุนมาสู่พื้นที่อีอีซี รวมไปถึงการเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ที่สำคัญประโยชน์ของโครงการนี้ จะสร้างผลตอบแทนด้านการเงินจากค่าเช่าที่ดินส่วนแบ่งรายได้ มูลค่าปัจจุบัน 305,555 ล้านบาท มีรายได้จากภาษีอากร 62,000 ล้านบาท มีการจ้างงาน 15,600 ตำแหน่งต่อปี ในระยะ 5 ปีแรก เพิ่มเทคโนโลยีและพัฒนาทักษะแรงงานด้านธุรกิจการบิน และธุรกิจเชื่อมโยง และเมื่อสิ้นสุดสัญญาทรัพย์สินทั้งหมดตกเป็นของรัฐ

“ผลจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์เร่งผลักดันโครงการดังกล่าว ทำให้เกิดเม็ดเงินการลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดความสนใจของนักลงทุน และเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งยังมีส่วนสนับสนุนการพื้นฟูอุตสาหกรรมการบิน รองรับการเปิดประเทศ ความต้องการการเดินทาง การท่องเที่ยวและขนส่งสินค้าทางอากาศที่เพิ่มมากขึ้น หลังวิกฤติโควิด-19” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

Related Posts

Send this to a friend