‘กัณวีร์’ ชวนทำความเข้าใจ กรณี จนท.จะขุดศพ ‘ยาห์รี ดือเลาะ’ มาตรวจพิสูจน์ใหม่
‘กัณวีร์’ พรรคเป็นธรรมลงพื้นที่ชวนทำความเข้าใจ กรณีเจ้าหน้าที่รัฐจะขุดศพ ‘ยาห์รี ดือเลาะ’ มาตรวจพิสูจน์ใหม่ ห่วงจะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าทำการขุดศพ ที่อ้างว่าเป็นศพนิรนาม ในพื้นที่ ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2565 จนเกิดการเผชิญหน้ากับชาวบ้านและครอบครัวที่ยืนยันว่า ศพที่เจ้าหน้าที่กล่าวอ้างจะมาขุดศพขึ้นพิสูจน์ใหม่ เป็นศพของนายยาห์รี ดือเลาะ ที่พบศพลอยน้ำในแม่น้ำสุไหงโก-ลก เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค.65 นายกัณวีร์ สืบแสง ประธานยุทธศาสตร์และรองหัวหน้าพรรคเป็นธรรม พร้อมด้วย นายอาร์ฟาน วัฒนะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 จ.นราธิวาส และนาย ฮาฟิส ยะโกะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 จ.นราธิวาส พรรคเป็นธรรม ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและพูดคุยกับ นางนูไรนิง ดือรอแม ภรรยาของนายยาห์รี ดือเลาะ ที่บ้านใน อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส รวมถึงได้สอบถามความคืบหน้าที่เจ้าหน้าที่จะขุดศพนายยาห์รี มาทำการพิสูจน์ใหม่
นายกัณวีร์ เปิดเผยว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ นอกจากมาเยี่ยมเยียนเพื่อให้กำลังใจครอบครัวนายยาห์รี ยังอยากมาทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเพื่อไม่ให้กรณีนี้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ส่งผลให้สถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้บานปลาย และเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการสันติภาพ ซึ่งการพูดคุยทำความเข้าใจเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมาเลเซีย ที่เป็นคนกลางในการพูดคุยสันติภาพ นายยาห์รี เป็นหนึ่งในผู้ลี้ภัยไปมาเลเซีย และก่อนจะพบศพลอยน้ำในแม่น้ำโกลก เขาถูกติดตามตัวในมาเลเซีย จึงมีการตั้งคำถามว่าจะถูกอุ้มหายหรือไม่
ขณะที่นายอาร์ฟาน ในฐานะที่ลงพื้นที่มาติดตามปัญหานี้ตั้งแต่ต้น เปิดเผยว่า นับจากที่ทางครอบครัวยืนยันไม่ยินยอม และมีชาวบ้านไม่เห็นด้วยกับการขุดศพนายยาห์รี จนเกิดการเผชิญหน้ากันขึ้น ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ดำเนินการใดๆ แต่จากที่ทราบข่าว เจ้าหน้าที่ยืนยันว่าจะขุดศพมาตรวจพิสูจน์ เพราะเป็นหน้าที่ตามกฏหมาย แม้ชาวบ้านไม่ยินยอม ถ้าชาวบ้านขัดขวางก็จะถูกดำเนินการตามกฏหมาย แต่ชาวบ้านก็พร้อมจะถูกดำเนินคดี ทำให้ตนเองเป็นห่วงว่าเรื่องนี้จะบานปลายกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว สร้างความขัดแย้งในพื้นที่ ที่อาจเหมือนกรณีตากใบ เมื่อ 18 ปีก่อนด้วย
ภรรยาของนายยาห์รี เปิดใจด้วยว่า จนถึงเวลานี้เธอมีความกังวลและเครียดเป็นอย่างมาก ไม่อยากให้เรื่องนี้บานปลาย และอยากให้เจ้าหน้าที่ยุติการขุดศพ โดยได้ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วยว่า ก่อนวันที่ 27 ก.ย.65 ที่นายยาห์รี จะหายตัวไป เธอยังติดต่อนายยาห์รี ที่อยู่ฝั่งมาเลเซียได้ตามปกติ โดยก่อนหน้านั้นนายยาห์รี เล่าให้ฟังว่า รู้สึกไม่ดีคิดว่าไม่ปลอดภัย เพราะมีกลุ่มคนบางกลุ่มมาถ่ายรูปเขา ที่ที่ทำงานในมาเลเซีย เป็นกลุ่มคนใส่หมวกกันน็อคมีขับขี่รถป้ายทะเบียนไทย เขาไม่รู้ว่าเป็นใคร จนกระทั่งช่วงสองทุ่มของวันที่ 27 ก.ย.ก็ติดต่อนายยาห์รี ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน และในวันที่ 29 ก.ย. มีชาวบ้านเจอศพลอยน้ำในแม่น้ำโกลก มาติดอยู่ฝั่งไทย แต่ขณะนั้นสภาพศพบวมทั้งตัว สภาพศพสวมเสื้อผ้าสีดำ กางเกงฟุตบอล สวมนาฬิกาแอปเปิ้ลวอทซ์ ซึ่งไม่ใช่ของนายยาห์รี ทำให้ภรรยา ที่ไปดูศพที่โรงพยาบาลไม่กล้ารับหรือปฏิเสธ ทำให้ทางตำรวจเก็บศพไว้ 3-4 วัน
“ตอนที่เห็นศพครั้งแรกยังไม่กล้ายืนยันเพราะตัวศพบวม แต่พอผ่านไป 3-4 วันไปดูศพอีกครั้งที่โรงพยาบาล ศพคืนรูป ทำให้เห็นใบหน้า รูปลักษณ์ชัดเจน มั่นใจว่าเป็นนายยาห์รี จึงได้ทำเรื่องรับศพกลับบ้าน ซึ่งก็มีเอกสารยืนยันให้ถูกต้อง”
นางนูไรนิง มั่นใจว่าเป็นศพของยาห์รี เพราะรูปลักษณ์ มีรอยแผลทุกสรีระ หน้าตา มีไฝข้างหลัง และรายงานชันสูตรพลิกศพ ที่ออกโดย สภ.สุไหงโก-ลก ก็ระบุชื่อผู้ตาย นายยาห์รี ดือเลาะ ซึ่งนายกัณวีร์ ได้ตรวจสอบเอกสาร ซึ่งลงวันที่ 5 ต.ค.65 ได้ระบุสาเหตุการตาย ว่า สันนิษฐานว่าผู้เสียชีวิตน่าจะเสียชีวิตด้วยสาเหตุไม่แน่ชัด ก่อนจะลอยตามแม่น้ำมาถึงบริเวณที่ประชาชนละแวกใกล้เคียงพบร่างของผู้เสียชีวิต ก่อนจะแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ และผลการชันสูตรของแพทย์ ลงวันที่ 10 ต.ค.65 ระบุสาเหตุการตายว่า ขาดอากาศหายใจจากภาวะจมน้ำ ก่อนจะให้ศพกับญาติมาทำพิธีทางศาสนา ซึ่งก็ได้นำศพมาฝังในกุโบร์
นายอาร์ฟาน ระบุว่า เวลาผ่านมากว่า 2 เดือน ปรากฏว่าในต้นเดือนธันวาคม เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่า ผลการตรวจลายนิ้วมือ พบว่าไม่ตรงกับนายยาห์รี จึงขอขุดศพใหม่ ครอบครัวจึงสงสัยว่า ทำไมผลลายนิ้วมือไม่ตรง ทั้งๆที่ในการชันสูตรครั้งแรก มีเอกสารราชการยืนยันแล้วว่าเป็นนายยาห์รี ทำให้ชาวบ้านและนักกิจกรรมก็ตั้งคำถามด้วยว่าเพราะเหตุใด ซึ่งก่อนหน้านั้นทางขบวนการบีอาร์เอ็น มีแถลงการณ์ว่า นายยาห์รี เป็นสมาชิกบีอาร์เอ็น ได้หายตัวไป และมาพบศพในแม่น้ำฝั่งไทย พร้อมทั้งประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี่อาจเป็นเหตุผลให้ทางไทยมาขุดศพเพื่อพิสูจน์ทราบด้วยหรือไม่ แล้วทำไมในการชันสูตรครั้งแรกจึงไม่ดำเนินการให้ครบถ้วน โดยเฉพาะการตรวจดีเอ็นเอ
นายกัณวีร์ กล่าวว่า พรรคเป็นธรรมจะติดตามกรณีนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมจากทุกฝ่าย เริ่มจากปัญหาการขุดศพ ทางพรรคจะสอบถามจากสำนักจุฬาราชมนตรี เพื่อสร้างความกระจ่างว่าสามารถขุดศพได้หรือไม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่อ้างว่าได้รับความเห็นจากสำนักจุฬาราชมนตรีมาแล้วว่าขุดได้ รวมถึงคำกล่าวอ้างว่าคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเห็นด้วย ซึ่งครอบครัวก็เห็นด้วย และเห็นว่ารัฐต้องทบทวนกระบวนการของรัฐ ที่ไม่สร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง เพียงเพราะการปฏิบัติหน้าที่ที่บกพร่องของตนเอง
“กรณีนี้มีเอกสารในการชันสูตรพลิกศพ เจ้าหน้าที่ลงนาม เป็นการยืนยันชัดเจนว่าศพคือใคร ถ้าเป็นแบบนี้ เป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่บกพร่อง จะมาตามทางญาติให้ขอขุดศพใหม่ ก็กระทบเรื่องศาสนา ถ้าเคสนี้สามารถให้เจ้าหน้าที่ใช้กฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะมาขุดศพได้ จะกระทบกับวิถีชีวิตของประชาชน พรรคเป็นธรรมคิดว่าทางเราจะเข้าไปที่ทำการสำนักจุฬาราชมนตรี เสนอแนะข้อคิดเห็นหลักการทางศาสนาที่ถูกต้อง”
นายกัณวีร์ เห็นว่า แม้ในกรณีนี้ทางครอบครัวจะไม่ติดใจ ไม่อยากให้สอบสวนกระบวนการเสียชีวิตของนายยาห์รี หากไม่มีการขุดศพแล้ว แต่ในกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องทำให้โปร่งใส โดยได้ให้กำลังใจครอบครัวนายยาห์รี ที่อยู่ในภาวะความเครียดด้วย
นอกจากนี้ยังมีการหารือกันถึงปัญหาผู้ลี้ภัยไทยในประเทศมาเลเซีย ในช่วงกว่า 18 ปีที่ผ่านมา มีผู้ลี้ภัยจากเหตุความรุนแรงไปยังประเทศมาเลเซียจำนวนมาก แต่ไม่ได้รับการคุ้มครองในฐานะผู้ลี้ภัย เนื่องจากมาเลเซียไม่ได้ลงนามในสัตยาบันผู้ลี้ภัย เช่นเดียวกับประเทศไทย จึงเป็นอีกหนึ่งประเด็นปัญหา ที่นายกัณวีร์ เห็นว่า พรรคเป็นธรรมจะนำมาหาทางในการแก้ไขปัญหานี้ เพราะตามนิยามผู้ลี้ภัยขององค์การสหประชาชาติ คนที่หนีไปมาเลเซีย ก็เข้าหลักการที่จะได้รับความคุ้มครองในฐานะที่หนีการประหัตประหาร จากกฏหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ หากคนเหล่านี้มีคดีความมั่นคงก็ต้องได้รับการพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรม
ในขณะที่นายอาร์ฟาน เปิดเผยด้วยว่าที่ผ่านมาหลายคนลี้ภัยไปมาเลเซียแล้ว แต่ยังมีชื่อก่อเหตุทั้งๆที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด และหลายคนเจอเหตุการณ์แบบนายยาห์รี ที่เสี่ยงต่อการถูกอุ้มหายด้วย เรื่องนี้จึงอาจจะกระทบกับกระบวนการสันติภาพได้ หากไม่มีการแก้ไขให้ถูกต้อง
