กต. เผย ไทยเร่งเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีเพิ่มเพื่อเป็นแต้มต่อด้านการลงทุน
วันนี้ (23 พ.ย. 66) นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ณ กระทรวงต่างประเทศ เกี่ยวกับการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 20-24 พ.ย. 66
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว” โดยสิ่งที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างมากระหว่างการประชุม คือ ประเทศไทยต้องมีการเจรจาทำความตกลงการค้าเสรีให้เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นแต้มต่อด้านการลงทุนของประเทศไทย
ส่วนเรื่องเป้าประสงค์ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development หรือ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา เป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับมาตรฐานต่างๆ ภายในประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น รวมถึงการใช้ประโยชน์จากกลุ่มภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ประเทศอาเซียน เนื่องจากตลาดอาเซียนถือเป็นเรื่องสำคัญแก่ประเทศไทย ทำให้การมองภาพของประเทศไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานเป็นตลาดขนาดใหญ่ และใช้ความเข้มแข็งในการส่งเสริมประเทศไทยในห่วงโซ่อุปทานให้ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากการที่ประเทศไทยตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงในเอเชียตะวันออกที่มีระดับการเจริญเติบโตที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่ากระทรวงต่างประเทศ ให้ความสำคัญ คือ การทำงานอย่าง Customer Centric ที่มุ่งให้ประชาชนได้ประโยชน์จากการดูแลของรัฐบาล เพื่อให้งานที่ทำออกมาเป็นรูปธรรมแก่ประชาชน และให้ใช้นโยบาย Can-Do Attitude “เราจะไม่ยอมรับ คำว่าทำไมได้” เพื่อให้ทำงานบรรลุตามเป้าประสงค์ที่วางไว้
นอกจากนี้ในที่ประชุมมีการพูดคุยและรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน ที่มีส่วนในการขยายตลาดการลงทุนของไทยไปยังต่างประเทศ ซึ่งทุกหน่วยเห็นความสำคัญที่กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ BOI (Board of Investment) หรือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่เป็นเสมือนประตูหน้าต่างของประเทศไทย ในการนำจุดแข็งของประเทศไทยไปเผยแพร่ให้ชาวโลกได้รับรู้ และนำด้านที่ดีจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศเช่นกัน รวมถึงการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวของไทย และการดำเนินงานทางการทูตที่สามารถจับต้องได้ เพื่อให้เป็นประโยชน์และสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
“การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ มีประโยชน์แก่ประชาชน คือ เป็นเหมือนประตูหน้าต่างของประเทศไทยได้กลับเข้ามารับฟังนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และได้มีความเข้าใจที่จะนำไปขับเคลื่อนนโยบายให้เป็นรูปธรรมร่วมกันรวมทั้ง และเน้นในเรื่องของทีม Thailand Plus ที่มีการผนวกภาคเอกชนไทยเข้าไปทำงานร่วมกันภายในทีม เพื่อจะนำความเข้มแข็งมาสู่ประเทศไทย” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าว
จากกรณีที่มีกระแสข่าวในอินเทอร์เน็ตถึงเรื่องตัวประกันผู้หญิงไทยในฉนวนกาซากำลังตั้งครรภ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศให้การปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ได้ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับตัวประกันชาวไทย รวมถึงได้สอบถามจากครอบครัวของหญิงชาวไทยรายนี้แล้ว ยืนยันว่าหญิงไทยคนดังกล่าวไม่ได้มีการตั้งครรภ์ ดังนั้นข่าวลือที่เผยแพร่ดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริง และทางสถานเอกอัครราชทูตจะยังคงติดตามเรื่องตัวประกันชาวไทยอย่างใกล้ชิด