POLITICS

นายกฯ ปาฐกถาพิเศษ เน้น การค้าเชิงรุก ดึงดูดนักลงทุน

ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช. ย้ำประเทศวิกฤต ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ยัน พ.ร.บ.กู้เงิน โปร่งใส ตรวจสอบได้

วันนี้ (23 พ.ย. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM ในหัวข้อ “FUTURE READY THAILAND เศรษฐกิจไทยในอนาคตแห่งความเปลี่ยนแปลง” ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก เขตคลองเตย กรุงเทพฯ

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยสูญเสียโอกาสไปเยอะมาก ตัวตนในเวทีโลกเราเกือบไม่มีเลย ความภาคภูมิใจในการเป็นคนไทยค้าขายให้ต่างชาติรู้จักสินค้าไทยมีน้อยมาก อาจด้วยหลายเหตุผลหลายประการ ทั้งการจัดลำดับความสำคัญทำเรื่องอื่นก่อนของรัฐบาลยุคที่ผ่านมา แต่ในรัฐบาลนี้ จะนำคืนศักดิ์ศรีของคนไทยในเวทีโลกกลับมาอีกครั้ง ทำให้คนไทยหัวใจฟู ภาคภูมิใจว่าไทยมีพื้นที่ในเวทีโลกได้

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้เดินทางไปต่างประเทศ ร่วมประชุม UNGA จนถึง APEC เพื่อเปิดให้ทั่วโลกรู้ ว่าประเทศไทยเปิด และที่พยายามทำมาก ๆ คือการนัดพบ หรือเชื้อเชิญนักธุรกิจต่างประเทศ ไปหาโอกาสในการทำธุรกิจ พูดคุยกับบริษัทใหญ่ ๆ อาทิ Microsoft, Apple, Amazon

ขณะนี้ ประเทศมีรัฐบาลใหม่แล้ว มีนายกรัฐมนตรีที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชน ยึดหลัก Rule Of Law มีมาตรการสนับสนุนด้านภาษี ต่อยอดอุตสาหกรรมไทย เพิ่มขีดการแข่งขันเข้ามาสูงอีก รวมถึงเรื่องพลังงานสะอาด ให้บริษัทที่จะมาลงทุน พร้อมมาตั้งโรงงาน ประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศก็ไม่ส่วนนี้ แต่บางประเทศถึงจุดสูงสุดที่จะเสนอแล้ว ประเทศเราจึงได้เปรียบเรื่องนี้ อีกทั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็เซ็น MOU หลายฉบับ ต้องส่งเสริมการเกษตรให้ได้ผลกำไรสูงขึ้น เพื่อคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า องค์กรใหญ่ ๆ ที่จะเข้ามาได้ ต้องได้รับการเผยแพร่ข้อมูลที่ดี ที่ถูกต้อง เมื่อสองวันก่อนได้ประชุมทูตพาณิชย์ ต้องทำการทูตเชิงรุก สามารถมีความรู้ในการไปขายจุดแข็งของประเทศไทย เข้าใจว่าประเทศนั้นต้องการอะไร เอกชนที่แข็งแกร่งต้องพร้อมมาลงทุน เป็น KPI ใหม่ที่รัฐบาลมอบให้เอกอัครราชทูตในทุกประเทศ และทูตพาณิชย์

รัฐบาลนี้จะขยายบีโอไอไปในประเทศที่ต้องการลงทุน เช่น ซาอุดิอาระเบียไม่มีบีโอไอ แต่เขามีความต้องการค้าขายสูงมาก เราก็พยายามเพิ่มคน และให้ได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และทูตพาณิชย์ต้องรู้ว่าเอกชนในไทยใดบ้าง ที่อยากออกไปทำธุรกิจต่างประเทศ เพื่อนำเงินกลับเข้ามาในประเทศ

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ทุกครั้งที่ไปต่างประเทศ ตนเองจะให้เอกชนเดินทางไปด้วย เพื่อประชุมในวงเล็กก่อน เพื่อหาธุรกิจกลับเข้ามาทำงานในประเทศ โดยมีรัฐบาลเป็นตัวช่วย หากไม่มีการลงทุนจากต่างประเทศ เราจะติดกับอุตสาหกรรมรายได้ต่ำอย่างเดียว ทั้งหมดนี้ต้องใช้เวลา ระหว่างนี้รัฐบาลเรามองว่าเศรษฐกิจไม่ดี จะเรียกว่าวิกฤตหรือไม่ ก็กำลังถกเถียงกันอยู่ ซึ่งเราสามารถเห็นต่าง และพูดคุยกันได้ ตนเองมั่นใจว่าทุกคนเห็นด้วย ว่าทุกวันนี้เศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลจึงลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน เปิดวีซ่าฟรีให้บางประเทศ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ยังไม่น่าพอใจ ดังนั้น รัฐบาลต้องมีหน้าที่ทำให้นักท่องเที่ยวมั่นใจ

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เศรษฐกิจทั่วโลกไม่ดี ทำให้การจับจ่ายใช้สอยน้อยลง การเดินทางมาใช้เงินในประเทศน้อย ระยะเวลาอยู่ไทยก็น้อยลง เราก็ต้องเชื้อเชิญ หรือแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยคุ้มที่สุดในการเดินทางมา และยังมีอีกหลายเรื่องเป็นปัญหาใหญ่ คือเรื่องหนี้สิน ทั้งหนี้นอกระบบ และหนี้ในระบบ โดยหนี้นอกระบบกัดกร่อนสังคมไทยมายาวนาน ดอกเบี้ยแพงกว่า 10% ต่อวัน หรือต่อสัปดาห์ สูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หลายเท่าตัว

ดังนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจวิกฤต คนทำงานหาเช้ากินค่ำ ต้องใช้หนี้ที่ไม่เป็นธรรม ทำเท่าไหร่ก็ใช้หนี้ไม่หมด จนกลายเป็นหันไปพึ่งยาเสพติดหรือก่ออาชญากรรม เพราะฉะนั้น การแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ จึงเป็นปัญหาแห่งชาติ เราจะประชุมกันวันที่ 28 พ.ย. นี้ เพื่อหาทางออกให้ได้ และหนี้ในระบบจะแถลงข่าววันที่ 12 ธ.ค. นี้ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้ครอบคลุมทุกภาคส่วน และทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น

ส่วนเรื่องหมูเถื่อน เนื้อเถื่อน ยางเถื่อน ก็ต้องจัดการกันไปเรื่องการผิดกฎหมาย แต่เรื่องการเพิ่มรายได้เกษตรกร 3 เท่า ภายใน 4 ปี ไม่อยากทำให้เป็นเพียงวาทกรรม แต่ต้องทำให้ได้จริง มีพืชผลหลายชนิดที่สามารถทำได้จริง เราจะเริ่มจากต้นน้ำ คือไม่ท่วมไม่แล้ง และจะแถลงใหญ่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า จะแถลงแนวทางการจัดการเรื่องนี้ ต้องมีน้ำให้เพียงพอทั้งการอุปโภค บริโภค และใช้ในอุตสาหกรรม

เรื่องข้าว เราต้องทำให้ผลผลิตมีคุณภาพ ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น ผลผลิตสูงขึ้น และอีกเรื่องคือผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง เพราะเรานำเข้าเยอะมาก เป็นถั่วเหลือง GMO ที่ไม่สามารถปลูกได้ในไทย ต้องแก้ไขเรื่องกฎหมาย และมีเงินจำนวนมากที่ตกไปอยู่ที่พ่อค้าคนกลาง เราต้องทำให้เงินส่วนนี้ตกอยู่ที่พี่น้องเกษตรกรอย่างมากที่สุด บางอย่างใช้เวลาน้อยเห็นผล แต่บางอย่างต้องใช้เวลานานในการทำ

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ประเทศต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เกิดเป็นโครงการดิจิทัล วอลเล็ต หลังจากรับฟังความเห็นของหลายฝ่าย นักวิชาการ ก็เลยเกิดเป็น พ.ร.บ.เงินกู้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักตามกฎหมาย โปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยจะต้องผ่าน สส. ในสภา ที่ต้องตอบคำถามให้ได้ทุกข้อ ซึ่ง สส. ก็เป็นตัวแทนของประชาชน ดังนั้น อาจช้าบ้าง แต่เป็นขั้นตอนที่มีความชอบธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ทุกภาคส่วน

“ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง มีโอกาส และต้องการการสนับสนุนจากภาครัฐในทุกๆ ภาคส่วน ต้องการการนำของรัฐบาลที่ทำการค้าเชิงรุก ออกไปปฏิบัติหน้าที่ที่เราควรทำ ให้ความสำคัญกับการค้าระหว่างประเทศ ให้ความสำคัญกับการค้าภายในและนอกประเทศ” นายกรัฐมนตรี กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ตอนนี้ประเทศไทยเปิดแล้ว พร้อมแล้ว ไทยมีของดีเยอะ เพียงแต่ต้องออกไปพบปะพูดคุย ตนเองยินดีรับคำติชม ยินดีรับคำแนะนำจากทุกคน เพื่อพาประเทศฝ่าวิกฤตนี้ไปยืนอย่างสง่างามบนเวทีโลก

Related Posts

Send this to a friend