‘เศรษฐา ทวีสิน’ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี
‘เศรษฐา ทวีสิน’ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี หาก ‘พรรคเพื่อไทย’ มีมติเสนอเป็นแคนดิเดต มอง ‘แพทองธาร’ เป็นคนรุ่นใหม่ที่เชื่อมั่นในประชาธิปไตย ส่วนใครจะเป็นตัวจริง ประชาชนต้องเลือกพรรคเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์
นายเศรษฐา ทวีสิน ยังออกตัวไม่ขอให้เรียก ว่าที่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เพราะรอมติจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ขณะนี้จึงมาทำงานการเมืองในฐานะ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเท่านั้น มีหน้าที่ให้คำปรึษา น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
นายเศรษฐา ยอมรับว่า ไม่เคยคุ้นเคยกับการเมือง เพราะมาจากภาคธุรกิจ จึงเป็นเรื่องใหม่ทางการเมือง แต่พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันแล้ว จึงช่วยกันเสริมการทำงาน และการเผยแพร่นโยบาย ซึ่งการก้าวเข้ามาสู่วางการการเมือง มีหลายมิติ ทั้งการปราศัยกับประชาชน การพูดคุยกับวงการธุรกิจ วงการการเกษตร และเยาวชน เช่นที่พิษณุโลก ก็ไปคุยแล้ว เพราะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวข้อมูลนำมาทำนโยบาย
“พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบัน เอาอำนาจประชาชนเป็นที่ตั้ง ใช้นโยบายนำสำคัญที่สุด เพราะภาคเอกชนและธุรกิจ เราไม่ใช่ One Man Show ต้องขายอะไร พรรคก็เหมือนกันเป็นสถาบันที่ยาวนาน มีบุคลากรที่มีคุณภาพสูง เราทำเพื่อประชาชน นโยบายในอดีตโดนใจมาตลอด เช่นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ก็ดังไกลไปทั่วโลก ก็เป็นเหตุผลที่ผมมาร่วมกับพรรคเพื่อไทย”
นายเศรษฐา เปิดเผยว่าเหตุผลที่เข้าสู่การเมือง เพราะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมแล้ว ลูกเรียนจบ มีงานทำ และธุรกิจก็อยู่ตัวแล้ว ที่สำคัญเห็นว่า 8 ปี และ 3 ปีหลังที่ผ่านมา ประเทศบอบช้ำอย่างมาก โดยเฉพาะความไม่เสมอภาค ความไม่เท่าเทียม ส่วนตัวจึงก็อยากจะมามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือประเทศชาติ
“ความตั้งใจส่วนตัว ผมจึงมีความพร้อม ผมเข้ามาในสถาบันที่ใหญ่ มีคนเก่งเยอะต้องให้เกียรติ ก็ต้องพิสูจน์ตัวเองครับ”
ส่วนกรณีมีการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี แล้วมีความพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายเศรษฐา ตอบอย่างมั่นใจว่า เมื่อมาตรงนี้แล้วก็ต้องพร้อม แต่ต้องรอให้ได้รับความไว้วางใจจากพรรค อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และเมื่อพร้อมเป็นแคนดิเดต ก็ต้องพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี
“ถ้ามาตรงนี้ก็ต้องพร้อม แต่ให้ได้รับความไว้วางใจเป็นขั้นเป็นตอนดีกว่าครับ ถ้าบอกว่าพร้อมแล้วไปกดดันท่านกรรมการบริหารพรรค หรือว่าท่านอื่นที่อยากเสนอตัวมาช่วยเหลือประเทศชาติ เรามาอยู่ในสังคมใหม่ สังคมที่แข็งแกร่งต้องให้เกียรติ เป็นขั้นเป็นตอน ถ้าเกิดพร้อมเป็นแคนดิเดต ก็ต้องพร้อมด้วย ไม่ปฏิเสธ”
นายเศรษฐา ชี้แจงกรณีเคยกล่าวว่าถ้าเข้ามาทำงานการเมืองแล้วต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น โดยระบุว่า ประสบการณ์ทำงานตนเองเป็นนักบริหาร ไม่ใช่ฝ่ายนิติบัญญัติ อายุขนาดนี้แล้ว ถนัดทางด้านไหนก็อยากใช้ความถนัดในด้านนั้นดีกว่า และยินดีถ้าได้โอกาส แต่มีอีกหลายขั้นตอน ต้องเสนอชื่อแคนดิเดต ต้องลงพื้นที่ปราศัย ต้องมัดใจประชาชน เรื่องเสนอนโยบายทั้งเศรษฐกิจ สังคม การอยู่ร่วมกัน ความเหลื่อมล้ำ ก็ต้องพยายามสื่อสารออกไปให้ได้คะแนนที่สูงที่สุด
ส่วนระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร กับ นายเศรษฐา ทวีสิน ใครจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีตัวจริงนั้น นายเศรษฐา ย้ำว่า เรื่องนี้ก็ยังเป็นทีละขั้นทีละตอนในการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
“คุณแพทองธาร ท่านคนรุ่นใหม่ เชื่อมั่นในการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ปัญหาความเหลื่อมล้ำความเท่าเทียม เป็นเรื่องสำคัญที่อยู่ในจิตใจของท่านและตัวผมด้วย หลังจากนี้ก็ต้องโน้มน้าวประชาชนให้เชื่อมั่นเรื่องเศรษฐกิจ อย่างที่ประธานสภาหอการค้าบอกว่า วินัยการเงินการคลัง ของประเทศสำคัญมาก ผมมาจากภาคธุรกิจเข้าใจดี มีหลายเสาหลักต้องคำนึงถึง” นายเศรษฐา ย้ำ
นายเศรษฐา ชี้แจงถึงนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่ประชาชนสนใจ เพราะเชื่อว่าเป็นนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ นอกจากนโยบายอื่นๆ ที่พรรคเพื่อไทยจะทำ เช่น ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค พักหนี้เกษตร พัฒนาระบบการเกษตร เพิ่มรายได้ 3 เท่าภายใน 4 ปี ทำได้โดยไม่บิดเบือนการตลาดโลก
“ผมคิดว่าเป็นจังหวะเวลาประเทศชาติที่พัฒนาเทคโนโลยีเยอะ และ Blockchain ก็เป็นเทคโนโลยีตัวหนึ่ง ที่สามารถทำได้หลายอย่าง เรื่องของกระเป๋าเงินดิจิทัล ประชาชน 16 ปีขึ้นไปจะใส่เงินไปให้ใช้ภายใน 6 เดือน และสามารถใช้ได้ภายในระยะ 4 กิโลเมตร ตามที่อยู่ในบัตรประชาชน เหตุผลคืออยากกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ไม่อยากให้คนเข้าหัวเมืองใหญ่ตลอดเวลา ถ้าเรากระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นได้ก็ช่วยประเทศชาติได้ เมื่อกำหนด 6 เดือน ก็ใช้ได้ เช่นอุปกรณ์การเกษตร เชื่อว่ากระตุ้นเศรษฐกิจได้เร็ว”
ส่วนกรณีปราศรัยถึงนโยบายสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียม เพราะเป็นสิ่งที่ตนเองและ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ได้คุยกันตั้งแต่ต้นแล้วว่าอยากให้ความสำคัญเรื่องสิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน
“สิทธิมนุษยชน เป็นนโยบายของพรรค เป็นสิ่งที่คุยผมกับคุณแพทองธาร เรามองเห็นเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน ท่านมองเป็นเรื่องเดียวกัน เราหวังมาแก้เศรษฐกิจ แต่ที่คนพูดน้อยคือความเสมอภาค สิทธิเสรีภาพของประชาชน เพศสภาพที่แตกต่างกันไป เหล่านี้สำคัญ เพราะสังคมอยู่ได้ ไม่ใช่เศรษฐกิจอย่างเดียว เป็นการบ่งบอกอะไรบางอย่าง ถึงความไม่พอใจกับสังคมที่เป็นอยู่ การแก้ปัญหายึดกฎหมายเป็นหลัก เรื่องเพศสภาพสำคัญ สมรสเท่าเทียม สิทธิการรักษา เป็นเรื่องของจิตใจ ทางพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องที่ซีเรียสมาก เศรษฐกิจไม่ต้องพูดถึง”
นายเศรษฐา ไม่ขอตอบว่าผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยจะชนะแบบแลนด์สไลด์หรือไม่ ส่วนตัวมีหน้าที่เสนอนโยบาย ที่เดินหน้าเกียร์ 5 วางโรดแมปการปราศัยพูดคุยกับทุกภาคส่วน ส่วนผลการเลืกตั้งต้องได้ฉันทามติจากประชาชน ให้ประชาชนตัดสิน ขณะนี้ยุบสภาแล้ว พร้อมแล้ว ที่จะเข้าสู่การเลือกตั้ง
นายเศรษฐา ฝากถึงประชาชนว่า 8 ปีที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่าเศรษฐกิจเราถดถอย มีความเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียม การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้ เป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทย หวังว่าพรรคเพื่อไทย จะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย ถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับฉันทามติ เราก็พร้อมบริหารงานเพื่อประชาชน
ชมสัมภาษณ์ : “เศรษฐา ทวีสิน”
https://youtu.be/X8Z1nYbfjb8