POLITICS

นายกฯ​ มอบนโยบายทูต-กงสุลใหญ่ทั่วโลก​ ปรับโฉมทีมไทยแลนด์

นายกฯ​ มอบนโยบายทูต-กงสุลใหญ่ทั่วโลก​ ปรับโฉมทีมไทยแลนด์ เป็นนักการทูตมืออาชีพ สร้างการต่างประเทศจับต้องได้​ รักษาเกียรติศักดิ์ศรี ลบครหา​ดูแลอภิสิทธิ์ชน​

วันนี้ (21 พ.ย. 66) นายเศรษฐา​ ทวีสิน​ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบนโยบายแก่เอกอัครราชทูต และกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2566​ ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ โดยมีนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจักรพงษ์ แสงมณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และนางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย เข้าร่วมการประชุมด้วย

ภายหลังจากรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวรายงานแล้ว นายกรัฐมนตรี ขึ้นกล่าวยินดีต่อการจัดการประชุมฯ ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ทีมประเทศไทย (Team Thailand) ทั้งภายในประเทศและที่ประจำการอยู่ต่างประเทศ ทั้งนักการทูตประจำประเทศต่าง ๆ นักการทูตที่มีความเชี่ยวชาญ (Specialist) เช่น ทูตเกษตร ทูตพาณิชย์ และหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบเฉพาะ เช่น คณะกรรมการส่งเสริมลงทุน (BOI) มาร่วมกันกำหนดแนวทาง และกลยุทธ์ขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศสู่ยุคใหม่ ให้เป็นการทูตที่จับต้องได้​ เป็นการต่างประเทศที่กินได้ สร้างความกินดีอยู่ดี โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง

นายเศรษฐา กล่าวถึงการปรับกรอบการคิดและแนวทางการทำงาน โดยเริ่มจากการตั้งคำถามชวนคิดว่า ประชาชนและภาคธุรกิจต้องการเห็นอะไรในการต่างประเทศ และมีผลตอบรับ (Feedback) อย่างไร รวมทั้งแนวคิดให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง (Customer-centric) มีแนวความรู้สึกทางธุรกิจ (Business sense) และมีความรู้สึกถึงความเร่งด่วน (Sense of urgency) จึงต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm) ในการทำงาน ให้ความสำคัญกับ “ทำไม” (Why) มากขึ้น ต้องตอบให้ได้ว่า “ทำไปทำไม” และ “ผลกระทบ (Impact) คืออะไร” พร้อมเปลี่ยนวิธีการคิดจาก “ทำไมถึงทำไม่ได้” เป็น “ทำยังไงถึงจะทำได้” และ “ทำยังไงถึงจะสำเร็จ” เพื่อให้รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่เน้นประชาชนทุกคนเป็นศูนย์กลาง

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เสนอกรอบการทำงานและวางกลยุทธ์ ซึ่งได้เรียนรู้จากการทำงานกับระบบราชการ และประสบการณ์การทำงานในภาคธุรกิจของนายกรัฐมนตรี จำแนกกรอบงานเป็น 2 ส่วน ได้แก่

1.งานที่เกี่ยวข้องกับการเป็นทูตเศรษฐกิจ ส่งเสริมทั้งการค้าขาย และการลงทุน ตามที่รัฐบาลมีนโยบายหลักที่มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์ของประชาชน โดยอาศัยภาคเอกชนเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อน ขณะที่รัฐบาลมีบทบาทในการสนับสนุน และเอื้อให้การค้าต่างประเทศและการลงทุนเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น เช่น การนำสินค้าไทยไปขายในต่างแดน การทำให้ดัชนีความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease of doing business) ดีขึ้น รวมถึงการเร่งการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ให้สำเร็จ เป็นตัวกลางในการประสานงานกับภาคเอกชนให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ เป็นที่ปรึกษาช่วยชี้แนะตลาดและปัจจัยสำคัญ สื่อสารให้ข้อมูลประเด็นทางเศรษฐกิจ

นายกรัฐมนตรี​ ย้ำจุดยืนของไทยในความเป็นกลางที่เป็นมิตรกับทุกฝ่าย แต่ไม่ไร้จุดมุ่งหมาย ปรับใช้กับวิธีการวางตัว วางจุดยืนของประเทศให้เหมาะสม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เป็นข้อมูลที่จะชี้โอกาสสำหรับการค้าและการลงทุน ซึ่งคือการต่างประเทศที่คนไทยสามารถจับต้องได้ ทั้งยังขอให้ทีมประเทศไทยช่วยกันคิด วางแผนการทำงานร่วมกันให้ครอบคลุม ทั้งการค้าขาย ทั้งนำเข้าและส่งออก และการลงทุนทั้งในประเทศและนอกประเทศ เป็นฟันเฟืองสำคัญของการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก

2.สถานเอกอัครราชทูต มีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี และการช่วยเหลือคนไทยและธุรกิจไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องเกียรติภูมิของประเทศ และการดูแลพระเกียรติของราชวงศ์ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อเกียรติภูมิของประเทศชาติ

นายกรัฐมนตรี​ กล่าวว่า​​ ไม่อยากให้มีข้อครหา​ เนื่องจากทุกคนทำงานหนัก​ จึงไม่ต้องการให้มารับภาระดูแลอภิสทธิ์ชนที่เดินทางไปดูงานต่างประเทศไม่ควรใช้ข้าราชการสถานทูต หรือใช้สถานทูต เป็นที่กินเลี้ยง สังสรรค์ รับรองของคณะคนไทยที่อ้างว่าเป็นผู้ใหญ่ ผมอยากให้เราสร้างวัฒนธรรมใหม่ในหมู่ข้าราชการว่า เกียรติและศักดิ์ศรีของเรา คือการทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ ในหน้าที่ที่เรารับผิดชอบ ทั้งเรื่องการประสานภาครัฐ และการสร้างความสัมพันธ์กับนานาชาติที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน มากกว่าเป็นสถานที่จัดเลี้ยงรับรองคนไทยกันเอง​

นายกรัฐมนตรี ยังย้ำถึงภารกิจที่ยิ่งใหญ่ คือการให้การช่วยเหลือ ประสานงานให้หน่วยงานราชการ คณะผู้แทนไทย สามารถบรรลุวัตถุประสงค์กลับมาให้กับประเทศ และให้คนไทย และขอให้หนักแน่นในหน้าที่นี้ เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ดีเป็นนักการทูตมืออาชีพ เพราะเงินทุกบาทที่ใช้มาจากภาษีประชาชน​

Related Posts

Send this to a friend