POLITICS

รมว.แรงงาน เผย IMF ระบุอัตราว่างงานของไทยต่ำสุดในโลก เพียง 1.0 %

รมว.แรงงาน เผย IMF ระบุอัตราว่างงานของไทยต่ำสุดในโลก เพียง 1.0 % เป็นอันดับ 1 ของโลก

วันนี้ (21 พ.ย. 65) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ IMF หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ออกรายงานคาดการณ์ GDP ปี 2023 ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผลปรากฏว่าประเทศไทย เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต มี GDP เป็นบวก คือจาก 2.8 เป็น 3.7 โดยในเอเชีย มีเพียงไทยและจีน 3.2 เป็น 4.4 เท่านั้น ที่ IMF คาดการณ์ว่า GDP จะเป็นบวก ไม่นับฮ่องกงและมาเก๊า (ข้อมูลอ้างอิงจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ International Monetary Fund (IMF) ที่ได้วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ฉบับเดือนตุลาคม 2565) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวไหลกลับเข้ามา รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลได้ไปเจรจาไว้ โดยเฉพาะ EEC และเสถียรภาพทางการคลังของประเทศด้วย

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า “สิ่งที่น่ายินดีอีกอย่างจากรายงานของ IMF ยังระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการว่างงาน “ต่ำที่สุดในโลก” แม้ในปีที่แล้วช่วงพีคของโควิด เรายังมีคนว่างงานเพียงร้อยละ 1.5 % ซึ่งเป็นรองเพียงคูเวตที่มีประชากรแค่ 4 ล้านคน และรวยกว่าเรามาก ที่ 1.3 % แต่ประเทศอื่นๆไม่มีใครแตะเลข 1 ได้เลย ส่วนปีนี้ลดลงมาเหลือ 1.0 % เป็นอันดับ 1 ของโลก และคาดว่าปีหน้าก็จะยังคงต่ำที่สุดของโลกได้อีก ที่ 1.0 % จากรายงานดังกล่าวถือเป็นผลพวงจากการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของรัฐบาล ภายใต้การนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่รักษาการจ้างงานและดูแลภาคแรงงานให้เข้มแข็งในช่วงสถานการณ์โควิด-19”

อาทิ โครงการส่งเสริมและยกระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs เพื่อลดปัญหาการว่างงาน โครงการแฟคทอรี่ แซนบ๊อก บนฐานแนวคิดเศรษฐศาสตร์และสาธารณสุข ตรวจ ควบคุม รักษา ดูแล การเปิดจุดตรวจโควิด แบบประจำจุดและตรวจเชิงรุกในโรงงาน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกจ้างให้ภาคเอกชนยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้ สนับสนุนวัคซีนให้แก่ผู้ใช้แรงงาน จัดหาโรงพยาบาล Hospitel ในเครือข่ายประกันสังคม เป็นต้น

ผลสัมฤทธิ์จากโครงการดังกล่าว ทำให้โรงงานไม่มีการปิดตัวลง ภาคการผลิตส่งออกสูงสุดในรอบ 30 ปี ที่สำคัญทำให้ดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติ อาทิ บริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ได้เข้าไปลงทุนทำธุรกิจใน 22 ประเทศ แต่มีเพียงสาขาในประเทศไทยเท่านั้น ที่อยู่รอดในช่วงโควิด จึงตัดสินใจลงทุนในไทยเพิ่มอีก 3,600 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้เชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลไทย ที่ดูแลผู้ประกอบการไทยและต่างชาติอย่างเท่าเทียม ทำให้บริษัทสนใจเข้ามาเปิดตลาดใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา

“ผลพวงจากการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา เป็นผลสำคัญที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ของนักลงทุนให้กลับมาลงทุน และการเจรจาการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว โดยเฉพาะการจ้างงานที่เติบโตอย่างรวดเร็ว”

Related Posts

Send this to a friend