POLITICS

ศาลเลื่อนฟังคำพิพากษาอดีตแกนนำ นปช.ชุมนุมขับไล่รัฐบาล ‘อภิสิทธิ์’ ปี 52 เหตุ ‘พงศ์พิเชษฐ์’ หลบหนี

ศาลเลื่อนฟังคำพิพากษาอดีตแกนนำ นปช.ชุมนุมขับไล่รัฐบาล ‘อภิสิทธิ์’ ปี 52 นัดใหม่ 7 ต.ค. 68 เหตุ ‘พงศ์พิเชษฐ์’ 1 ในจำเลยหลบหนี พร้อมออกหมายจับ ส่วน ‘อดิศร’ ติดประชุมสภา

วันนี้ (20 ส.ค. 68) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ภายหลังศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีคดีหมายเลขดำ อ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวม 13 คนเป็น ฐาร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่องก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พศ.2548 จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 ม.ค. – 9 เม.ย. 2552 โดยพวกจำเลย ได้ร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในขณะนั้น

โดยภายหลัง จำเลยในคดี ขึ้นฟังคำพิพากษาพบว่ามีจำเลย 2 คน ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาในวันนี้ คือ นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง จำเลยที่ 10 ซึ่งทนายความแจ้งว่าขาดการติดต่อเป็นเวลานาน และ นายอดิศร เพียงเกษ จำเลยที่ 11 ซึ่งแจ้งว่าติดประชุมสภาฯ เบื้องต้นศาลได้แจ้งเลื่อนอ่านคำพิพากษาเป็นวันที่ 7 ตุลาคม 2568 เวลา 09:00 น. พร้อมออกหมายจับนายพงศ์พิเชษฐ์ และปรับนายประกัน เป็นเงิน 2 แสนบาท

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. หนึ่งในจำเลย เปิดเผยว่า วันนี้ศาลนัดมาฟังคำพิพากษาในคดีเดิม เมื่อช่วงเดือนเมษายนปี 2552 ซึ่งเกิดขึ้นที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ รอบทำเนียบรัฐบาล และการชุมนุมที่พัทยา โดยเดิมทีจำเลยมี 12 คน มีเสียชีวิตไป 1 คน คงเหลือจำเลย 11 คน ซึ่งวันนี้มีจำเลยทั้งหมดมาที่ศาล 9 คน โดยจำเลยที่ 10 คือนายพงศ์พิเชษฐ์ ทนายได้แถลงต่อศาลว่าไม่สามารถติดต่อได้เป็นระยะเวลานาน และจำเลยที่ 11 นายอดิศร ทนายแถลงว่าอยู่ในช่วงสมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งวันนี้มีการประชุมพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญต่อเนื่องหลายฉบับ จึงไม่สามารถมาที่ศาลได้

ดังนั้น เมื่อศาลรับฟัง จึงมีคำสั่งเลื่อนออกไป 1 นัด วันที่ 7 ต.ค. เวลา 09:00 น. และออกหมายจับ และปรับนายประกันในส่วนของนายพงศ์พิเชษฐ์ แต่เนื่องจากเราใช้นายประกันเดียวกันจึงได้แถลงต่อศาลขอให้พิจารณาปรับนายประกัน โดยหักยอดเฉพาะในส่วนของจำเลยที่ 10 จำนวน 2 แสนบาท ซึ่งศาลก็กรุณาให้ตามนั้น ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ก็ไม่มีอะไรนอกจากนี้เพราะในกระบวนการต่อสู้ทางคดีก็ได้แสดงข้อเท็จจริง และหลักฐานการครบถ้วนแล้ว

ส่วนบรรยากาศในห้องพิจารณาคดีได้มีการพูดคุยอะไรกันหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ก็มีการทักทายกันตามปกติ เราปฏิเสธความจริงไม่ได้ในวันที่กอดคอต่อสู้กันมา ทุกคนก็ร่วมเป็นร่วมเผชิญชะตากรรมมาด้วยกัน และสิ่งนั้นคือมิตรภาพ เมื่อเวลาเปลี่ยนสถานการณ์มันเดินไปอาจจะมีความคิดเห็นหรือแนวทางทางการเมืองที่แตกต่างกันบ้าง ก็ให้เป็นเรื่องของปัจจุบัน และอนาคต แต่ส่วนตัวและเชื่อว่า มิตรอีกหลายคน เราคงจะเอาไปลบอดีตหรือทำร้ายอดีตที่ผ่านมาที่มีวันของมิตรภาพอยู่คงไม่ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้พูดคุยกับนายจตุพร พรหมพันธุ์หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไม่ได้พูดคุยกัน เนื่องจากตนเองมาช้าและทำหน้าที่ในการประสานงานเรื่องประกัน และทนายความให้พรรคพวก แต่ก็มีการสอบถามสารทุกข์สุขดิบ โดยเฉพาะผู้อาวุโสของกลุ่ม ซึ่งไม่ได้มีการหารือหรือนัดหมายเป็นการส่วนตัว แต่หลักยืนของตนมาตลอดคือในวันที่สู้ด้วยกัน เราร่วมเป็นร่วมตายกันจริง ซึ่งตนก็ไม่คิดจะไปทำให้วันเหล่านั้นถูกทำลายลง ส่วนปัจจุบันหรือวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่ให้เป็นเรื่องของวันเวลา และสถานการณ์ความจริงจะชี้ชัดออกมาเอง ซึ่งเพื่อนฝูงจะกระทบกระทั่งกันเอาบ้างก็ไม่เป็นไร สำหรับตนไม่มีปัญหา

ส่วนความรู้สึกที่มีต่อนายจตุพรนั้นยังเป็นพี่น้องและส่วนตัวก็ไม่มีอะไรกันแต่ทางการเมืองเรายืนกันอยู่คนละเวทีก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลจะบอกว่าตนเห็นด้วยครับนายจตุพรวันนี้ตนไม่เห็นด้วยจะบอกว่า ตนสนับสนุนการเคลื่อนไหวของนายจตุพรวันนี้หรือไม่ตนไม่ สนับสนุนแต่ก็ยอมรับว่าเป็นสิทธิ์ของนายจตุพร

นายณัฐวุฒิ ยืนยันว่า บทบาทของ นปช.ขณะนี้ได้ยุติไปแล้ว และองค์กรนำของ นปช.นั้นไม่มีสภาพในทางปฏิบัติตั้งแต่ ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 แล้ว ในช่วงที่นายจตุพรและพรรคพวก แยกตัวไปทำพรรคการเมืองโดยพวกเราไม่ได้ทราบล่วงหน้าและไม่ได้มีการประชุมแกนนำนปช. อีกเลยแม้มีการเรียกร้องกันหลายครั้งจากหลายคน และตั้งแต่บัตรนั้นก็ยังไม่มีการประชุมแกนนำ นปช.อีก เพราะฉะนั้นทางปฏิบัติก็ถือว่าไม่มีสภาพอยู่แล้ว

Related Posts

Send this to a friend