‘ดร.สติธร’ มองเกม “ปิดสวิตซ์ฝ่ายประชาธิปไตย” บีบ ‘ก้าวไกลออกจากสมการจัดตั้งรัฐบาล
‘ดร.สติธร’ มองเกม “ปิดสวิตซ์ฝ่ายประชาธิปไตย” บีบ ‘ก้าวไกลออกจากสมการจัดตั้งรัฐบาล ชี้ ยิ่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นักการเมืองใหม่ ประชาธิปไตยยิ่งโต
วันนี้ (20 ก.ค. 66) ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์กับ The Reporters ถึง สถานการณ์การเมืองว่าด้วยการเลือกนายกรัฐมนตรีว่าที่ประชุมรัฐสภามีมติเสียงข้างมากเห็นด้วยว่าจะเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ ซ้ำไม่ได้จะกลายเป็นบรรทัดฐานจนกว่าจะมีคนไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ หากมีการรับคำร้องก็อาจจะสั่งให้ยุติกระบวนการเลือกนายกฯ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบ การจัดตั้งรัฐบาลปัจจุบันเป็นเหมือนการชิงไหวชิงพริบ ยอมรับว่านักกฎหมายหลายท่านไม่เห็นด้วยกับที่ประชุมรัฐสภา ที่มีเสียงข้างมากตัดสินใจเรื่องข้อบังคับรัฐสภาที่ 41 เช่นนี้ วิพากษ์ไปถึงการทำหน้าที่ของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา
หากยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความข้อบังคับรัฐสภาที่ 41 วินิจฉัยว่าการใช้เสียงข้างมาก โหวตตีความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญจะช่วยคลี่คลายข้อกังขาในเชิงหลักกฎหมาย ส่งผลให้คนที่ลงมติต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ หากต้องการแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย ไม่ต้องการรับผิดชอบกับสิ่งที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ต้องเลือกที่จะไม่ร่วมสังฆกรรม ไม่ร่วมประชุม และไม่ร่วมลงมติตั้งแต่แรก
สำหรับการเลือกนายกฯ ครั้งที่ 3 ขึ้นอยู่กับว่าจะเสนอใคร ภายใต้องค์ประกอบใด หากนายพิธาหมดสิทธิถูกเสนอชื่อชิงนายกฯ ยอมให้แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย โจทย์ที่เพิ่มขึ้นมาจากการประชุมวานนี้ แม้พรรคเพื่อไทยมีแคนดิเดตนายกฯ 3 คน แต่ละคนมีสิทธิแค่ครั้งเดียวในสมัยประชุมนี้ โอกาสได้นายกฯ ยาก เพราะหลายพรรคการเมือง และ สว.อาจปฏิเสธพรรคเพื่อไทย เนื่องจากยังมีพรรคก้าวไกลร่วมด้วย ต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยจะกอดคอไปกับ 8 พรรคร่วมตาม MOU หรือไม่
หากพรรคเพื่อไทยไม่อยากให้เกิดความเสียหาย หรือเกิดข้อครหา โหวตเลือกนายกฯ ได้อย่างสง่างาม ต้องเสนอบุคคลเพื่อเป็นนายกฯ บนความมั่นใจว่าน่าจะได้ เช่น การเติมพรรคร่วม คุย สว.ให้ชัด ซึ่งอุปสรรคสำคัญคือการมีอยู่ของพรรคก้าวไกล หากยังจะไปด้วยกัน 8 พรรคแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมรับ ก็เหมือนเป็นการปิดสวิตช์ฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งพรรคเพื่อไทยต้องเป็นฝ่ายที่เสนอทางออก สุดท้ายถ้าตกลงกันไม่ได้พรรคก้าวไกลอาจถูกบีบออก ให้พรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาล ดีกว่าการที่พรรคเพื่อไทยสลับขั้ว แล้วลุงใดลุงหนึ่งได้นายกฯ
ทั้งนี้มองอีกมุมอาจจะเป็นเกมของรัฐบาลรักษาการที่ต้องการจะอยู่ต่อ ไม่ต้องเสี่ยงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยรอให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในอนาคต จะเป็นได้ต้องใช้กล้วย และงูในราคาสูงหลักร้อยล้าน กรณีการนำไปสู่การรัฐประหารหรือรัฐบาลแห่งชาติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสุดทาง เพราะวันนี้ขั้วการเมืองยังมีหลายสูตร เพียงแต่คงไม่ถูกใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่มีใครรวมเสียง สส.ได้ 376 เสียง โดยเป็นขั้วเดียวกันทั้งหมด อย่างไรต้องผสมกัน
“การเมืองตอนนี้เหมือนลิงแก้แห ถ้าเราทำให้มันเป็นเกมก็จะเป็นแบบนี้ เมื่อวานโหวตแล้วเดี๋ยวจะมาแก้กันใหม่ ตีความใหม่ โหวตซ้ำได้ เป็นลิงแก้แหทางกฎหมาย แก้จนเพี้ยนไปหมด”
ดร.สติธร มองว่าเป็นกลไกที่ถูกวางไว้ ถูกหยิบมาใช้ในทางที่ไม่เป็นประโยชน์ท จะทำให้เกิดอุปสรรคต่อรัฐสภา รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันร่างบนเจตนาที่ต้องการให้ตั้งรัฐบาลที่มีความประนีประนอมระหว่างขั้วการเมือง เป็นรัฐบาลแห่งชาติกลาย ๆ ส่วนคำพูดที่ว่าการเมือง ณ ขณะนี้ไม่ใช่นิติสงคราม แต่เป็นการล้างเผ่าพันธุ์ ตัดตอนนักการเมืองใหม่ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าทำไม่สำเร็จ เพราะหัวใจประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่นักการเมือง แต่มีประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดด้วย ยิ่งยุยิ่งตัดตอนประชาชนที่มีแนวทางเสรีประชาธิปไตยจะมีมากขึ้น ยิ่งฆ่ายิ่งโตตัดได้แค่ระดับผู้นำ ซึ่งเกิดคนรุ่นใหม่มาทดแทน












