POLITICS

“ปกรณ์วุฒิ” ชี้ “ศักดิ์สยาม” แจงไม่เคลียร์

ตัวเลขในงบการเงินแสดงฐานะของกิจการ ยังเป็น 69 ล้านบาทเท่าเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง

วันนี้ (20 ก.ค.65) นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล แถลงข่าวประเด็นการชี้แจงของ รมว.คมนาคม สืบเนื่องจากเมื่อวานนี้ (19 ก.ค. 65) นายปกรณ์วุฒิ ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ว่ามีการปกปิดทรัพย์สินของตนเองในส่วนที่เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น

โดยใช้ลูกจ้างเป็นนอมินี และจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายเพื่อให้ตนเองมีส่วนได้รับผลประโยชน์จากโครงการต่าง ๆ ของรัฐ

ซึ่งเมื่อเวลา 12.00 น. ของวันนี้ (20 ก.ค. 65) นายศักดิ์สยาม ได้ชี้แจงประเด็นนี้และได้แสดงหลักฐานว่ามีการจ่ายเงินโอนหุ้นของ หจก. กันจริงในราคา 120 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่า หจก. ที่มีสินทรัพย์ มีรายได้มากขนาดนี้ การซื้อขายในราคา 120 ล้านบาทเป็นราคาที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะหลังจากขายไปแล้ว หจก.นี้กลับมาได้งานของกระทรวงคมนาคมในขณะที่นายศักดิ์สยาม ดำรงตำแหน่งมูลค่า 1,000 ล้านบาท หากจะบอกว่าการขายในราคานี้เป็นราคาที่พึงพอใจก็ขอให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าการกระทำธุรกรรมครั้งนี้เป็นนิติกรรมอำพรางหรือเปล่า และหากมีการซื้อขายโอนหุ้นกันในราคานี้จริง เงินที่ขายราคา 120 ล้านบาทนี้หายไปไหนจากบัญชีทรัพย์สิน เพราะการซื้อขายเกิดขึ้น 16 เดือนก่อนยื่นแสดงทรัพย์สิน และมีการโอนเงินค่าหุ้นในงวดแรกก่อนที่จะมีการโอนหุ้นจริง 5 เดือน

นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่าเป็นการซื้อขายที่แปลกมาก เพราะมีการจ่ายเงินก่อนที่จะมีการโอนหุ้นให้กัน แต่หากจะบอกว่าเงินจำนวนนี้นำไปใช้ส่วนตัวแล้ว จึงไม่ปรากฏในบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน ตนขอไม่ก้าวล่วง แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ หจก.นี้รัฐมนตรีทำการขายโอนออกไปเมื่อต้นปี 2561 แต่ปรากฏว่าปลายปี 2560 หจก. นี้เป็นเจ้าหนี้ของหุ้นส่วนผู้จัดการ จำนวน 69 ล้านบาท หมายความว่าก่อนโอนหุ้นออก นายศักดิ์สยาม เป็นหนี้ หจก. แห่งนี้ จำนวน 69 ล้านบาท และเมื่อสิ้นปี 2561 หนี้จำนวนนี้ยังเขียนเหมือนเดิมว่าเป็นเจ้าหนี้หุ้นส่วนผู้จัดการอยู่จำนวนเท่าเดิม แต่หุ้นส่วนผู้จัดการเปลี่ยนชื่อไปแล้ว

นายปกรณ์วุฒิ จึงสงสัยว่ามีการโอนหนี้ออกไปหรือไม่ และขณะที่มีการขายหุ้นกัน หากขายกันในราคา 120 ล้านบาท แล้วมีการโอนหนี้จำนวนนี้ให้กับผู้จัดการคนใหม่แปลว่านายศักดิ์สยาม ได้กำไรจากการขายกิจการนี้ 69 ล้านบาท

“ผมแบ่งเป็น 3 กรณี คือ 1.ถ้าขาย 120 ล้านบาท ถ้าโอนหนี้ให้กับผู้จัดการคนใหม่ แปลว่าท่านได้กำไรจากการขายกิจการ 69 ล้าน ต้องยื่นภาษี แต่ท่านไม่ได้ยื่น 2. ถ้าท่านไม่ได้โอนหนี้ออกไป แปลว่าหนี้นี้ เป็นหนี้สินส่วนตัวของท่าน ก็ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งท่านก็ไม่ได้ยื่น 3.ถ้ามีการบอกว่าเอาเงินที่ขายหุ้นไปใช้หนี้ ตัวเลขมันแปลกมากที่สิ้นปี 2560 กับสิ้นปี 2561 ตัวเลขในงบการเงินแสดงฐานะของกิจการ ยังเป็น 69 ล้านบาทเท่าเดิม ซึ่งสุดท้ายแล้วผมเข้าใจว่าตัวเลขตัวนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง และไม่มีการจ่ายหนี้อะไรกันเลย ไม่มีการโอนหนี้เลย และหนี้นี้ต้องเป็นของท่านที่ติดหนี้ หจก.อยู่ และท่านก็ไม่ได้แสดงในบัญชีทรัพย์สินด้วย ผมว่าเรื่องนี้ท่านไม่มีทางออกแล้ว สิ่งที่พูดมา หลักฐานที่อภิปรายไป หลักฐานงบการเงินทั้งหมด ค่อนข้างมัดตัวได้แน่น จากนี้ผมคิดว่าเตรียมพูดคุยกับฝ่ายกฎหมายของพรรค และพรรคร่วมฝ่ายค้านที่อภิปรายเรื่องนี้ ยื่นเรื่องไปยัง ป.ป.ช. เพื่อทำการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน การถือครองธุรกิจที่ใข้นิติกรรมอำพรางเพื่อเอาผิดต่อไป” ปกรณ์วุฒิ กล่าว

การที่บอกว่านำเงินจำนวนนี้ไปใช้หนี้ ตัวเลขหนี้สิ้นเมื่อสิ้นปี 2560 และ 2561 ตัวเลขในงบดุลหนี้ยังจำนวนเท่าเดิม ดังนั้น หลักฐานทั้งหมดที่ตนได้อภิปรายน่าจะมัดตัวนายศักดิ์สยามได้ค่อนข้างแน่นพอสมควร ซึ่งตนจะพูดคุยกับฝ่ายกฎหมายของพรรค และพรรคประชาชาติที่ได้อภิปรายในประเด็นนี้ เพื่อยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบและสอบสวนการยื่นบัญชีทรัพย์สินและการถือครองธุรกิจที่ใช้นิติกรรมอำพรางเพื่อเอาผิดกับนายศักดิ์สยาม ต่อไป

Related Posts

Send this to a friend