POLITICS

‘ชูวิทย์’ เผยพยานปากเอกคดี ‘ตู้ห่าว’ ถูกโน้มน้าวให้ถอนตัว เชื่อผู้ต้องหาที่ได้ประกันอยู่เบื้องหลัง

‘ชูวิทย์’ ต่อสายตรงพยานปากเอก เผย ถูกโน้มน้าวให้ถอนตัวจากพยานในคดี “ตู้ห่าว” พบพยานอีก 1 ปาก ถูกข่มขู่จนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถติดต่อได้ เชื่อ ผู้ต้องหาที่ได้ประกันอยู่เบื้องหลัง จี้ถอนประกัน

วันนี้ (20 ม.ค. 66) เวลา 15:00 น. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง แถลงเปิดข่าวเปิดใจ หลังอัยการสูงสุดมีคำสั่งฟ้อง นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ หรือ ตู้ห่าว กับพวกรวม 41 คน โดยนายชูวิทย์เปิดเผยว่า สาระสำคัญของการแถลงในวันนี้เกี่ยวกับเรื่องของคดีอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งกว่าจะมีการตั้งข้อหาก็ใช้เวลานาน และกว่าจะทำให้คดีนี้ไปถึงมือของอัยการได้ คือต้องทำให้เป็นคดีอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่เช่นนั้นก็ยังเป็นตำรวจที่ยังดูแลคดีนี้อยู่ ซึ่งมองว่าเรื่องของความยุติธรรมที่ล่าช้า จะทำให้เกิดความอยุติธรรม

นายชูวิทย์ ตั้งข้อสังเกตอีกว่าการตั้งข้อหาฟอกเงินล่าช้ากับตู้ห่าวจะทำให้มีโอกาสเคลื่อนย้ายถ่ายเททรัพย์สินออกไป เพราะที่ผ่านมาทรัพย์สินของตู้ห่าวที่ตรวจพบประมาณ 8 พันล้านบาท กลับไม่มีเงินสดแม้แต่บาทเดียว มีเพียงเงินในบัญชีแค่ 1 แสนบาทเท่านั้น

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ถึงแม้วันนี้คดีจะไปถึงชั้นศาลแล้ว แต่ก็ยังมีขบวนการทำลายพยานหลักฐานอยู่ โดยนายชูวิทย์ได้ต่อสายถึงพยานบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นหนึ่งในพยานจำนวน 400 ปาก ของคดีตู้ห่าว ซึ่งพยานคนดังกล่าว ระบุว่า ตนได้ไปให้การกับอัยการสูงสุดแล้ว รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่ไม่ทราบว่าในส่วนของฝ่ายจำเลยรู้ได้อย่างไรว่าตนไปให้การในคดีดังกล่าว จึงได้พยายามโน้มน้าวให้ถอนตัวออกจากการเป็นพยาน แต่ไม่ได้มีการเสนอเป็นตัวเลข

ซึ่งตนเองเชื่อว่า คนที่พยายามทำลายพยานหลักฐานต้องเป็นคนที่ได้รับการประกันตัวในคดีฟอกเงินไปก่อนหน้านี้ จึงเรียกร้องให้มีการถอนประกันตัวจำเลยรายดังกล่าว เนื่องจากทางอัยการเรียกไปรายงานตัว เพื่อแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม ก็มีสิทธิ์ที่จะต้องถอนประกัน ซึ่งตามปกติการเพิ่มข้อหาจะต้องถูกถอนประกัน

นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า พยานปากสำคัญของตนเองมี 2 คน และไม่ทราบว่าพยานในชั้นสอบสวนไปหามาจากไหนถึง 400 ปาก และตนเชื่อว่าจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่า 2 ปี ในการสืบพยานกว่า 400 ปากทั้งหมด ส่วนพยานของตนที่ถูกโน้มน้าวทั้ง 2 คนนั้น คนแรกคือคนที่เห็นการถอนเงินออกจากบัญชี และคนที่ 2 เป็นพยานของโรงแรม ซึ่งตนไม่สามารถให้รายละเอียดมากกว่านี้ได้ เนื่องจากขณะนี้พยานทั้ง 2 คน อยู่ในการคุ้มครองของตำรวจ อีกทั้งยังพบพยานอีก 1 คน ซึ่งถูกข่มขู่จนเกิดความกลัว และขณะนี้ไม่สามารถติดต่อได้

นายชูวิทย์ ยังตั้งข้อสังเกตว่าขบวนการนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐคอยสนับสนุน และอยู่เบื้องหลัง ทำให้คดีบิดเบี้ยวหรือล่าช้า เนื่องจากแต่ละขั้นตอนใช้ระยะเวลานาน ทำให้พยานหรือหลักฐานเสียหายหรือเปลี่ยนแปลง เพราะจำเลยเป็นผู้มีอิทธิพล และมีเงิน จึงทำให้มีโอกาสในการต่อสู้ และโน้มน้าวพยาน โดยการโน้มน้าวพยานจะถูกเสนอผลประโยชน์ในรูปแบบของเงิน เพื่อไม่ให้ไปให้การต่อศาล หากไปให้การก็ให้การปฏิเสธว่าไม่รู้ และไม่เห็น ส่วนพยานที่ให้การแล้วก็ขอให้กลับคำให้การใหม่ หรือสุดท้ายขอให้พยานหายตัวไป ไม่ต้องไปให้การต่อศาล

ทั้งนี้ นายชูวิทย์ ได้ระบุว่า อยากให้ศาลมีการพิจารณาเรื่องของการให้ประกันตัว เนื่องจากสิ่งที่กล่าวมาข้างตนนั้น คือการไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และยืนยันว่า สิ่งที่พูดมานั้น ไม่ใช่การสร้างเรื่องขึ้นมา เพราะตนเองเป็นคนหาพยานเหล่านี้มา ไม่รู้ว่าจะสร้างเรื่องไปเพื่ออะไร แต่ก็ไม่สามารถหาหาหลักฐานของขบวนการที่พยามทำลายพยานหลักฐานให้ได้ นอกจากจะถามกับทางพยานของตนเอง

ส่วนประเด็นเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI ร่วมขบวนการตบทรัพย์กลุ่มทุนจีนสีเทา ขณะเข้าตรวจค้นอดีตบ้านพักกงสุลใหญ่นาอูรู ประจำประเทศไทย ซึ่งมีทั้งตำรวจ191 เจ้าหน้าที่ DSI ทหาร และล่าม รวม 16 คน นายชูวิทย์ได้ให้ข้อมูลว่าต้นเรื่องนี้เกิดจากเจ้าหน้าที่ DSI ไม่ใช่ตำรวจ 191 เนื่องจาก DSI ยังไม่สามารถตั้งเลขคดีได้ เพราะการตั้งเลขคดีจะต้องผ่านคณะกรรมการฯ และต้องให้อธิบดีรับรอง แต่กรณีนี้เจ้าหน้าเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงได้ประสานกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อออกหมายจับ และเข้าไปตรวจค้นร่วมกัน

นายชูวิทย์ ระบุอีกว่า จากข้อมูลที่มีอยู่ ส่วนตัวมองว่าอธิบดี DSI ไม่รู้เรื่องในประเด็นการเรียกรับผลประโยชน์ และเชื่อว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้มีชื่อย่อตัว “ท” ซึ่งอยู่ในระดับบริหารของ DSI

ส่วนประเด็นที่เงินของกลางจำนวน 9.5 ล้านบาทที่หายไป นายชูวิทย์ กล่าวว่า ไม่รู้ว่าเงินดังกล่าวไปอยู่ที่ไหน

Related Posts

Send this to a friend