‘ชูวิทย์’ ชี้ รัฐบาล 313 เสียง เหมาะสม หากรวมภูมิใจไทย อาจเข้าข่าย ‘เผด็จการรัฐสภา’
วันนี้ (19 พ.ค. 66) เวลา 15:00 น. ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กล่าวถึงกรณีการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล โดยระบุว่า ขณะนี้เป็นช่วงก่อนการฮันนีมูนของพรรคร่วมรัฐบาล หรือช่วงเกี้ยวพาราสี การที่พรรคร่วมรัฐบาลสามารถรวบรวมได้ 313 เสียง นั้น ถือว่าเหมาะสม ซึ่งฝ่ายค้านจำเป็นต้องมีจำนวนพอสมควรในการต่อสู้ในสภาฯ แต่หากพรรคร่วมรัฐบาลไปรวมกับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 3 อีก 70 เสียง กลายเป็น 380 เสียง ก็อาจเข้าข่าย “เผด็จการรัฐสภา” ได้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วสมัยพรรคไทยรักไทย ปี 2547
นายชูวิทย์ บอกด้วยว่า ก่อนที่จะไปถกกันเรื่องการรวมเสียงจาก สว. ประเด็นสำคัญตอนนี้อยู่ที่เรื่อง ม. 112 เพราะหลายพรรคการเมืองมองว่า เรื่องนี้ไม่ควรเป็นเงื่อนไขภายใน MOU ของการร่วมรัฐบาล อย่างไรก็ดี ถ้าพรรคก้าวไกลยืนยันจะเดินหน้าให้มีการแก้ไข ม. 112 ให้ได้ ก็จะต้องไปต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวในสภาฯ ส่วนพรรคการเมืองอื่นจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ต้องไปดูกันในอนาคต แต่ในเมื่อเป็นแนวทางการทำงานของพรรคก้าวไกล ตนก็ไม่สามารถก้าวล่วงได้
ทั้งนี้ อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าในการโหวตให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี สิ่งที่สำคัญ คือการเป็นนายกฯ ของทุกฝ่าย ต้องให้ทุกฝ่ายยอมรับ ไม่ใช่ไปบีบคั้นหรือแสดงท่าทีกดดันโดยเฉพาะ ส.ว. เอง ก็จำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงกระบวนการประชาธิปไตย และคะแนนเสียงที่เกิดขึ้น เชื่อว่า เรื่องนี้จะจบลงได้ หากทุกฝ่ายยอมถอยด้วยการประนีประนอม
ส่วนการดำเนินการของพรรคก้าวไกลในการทำตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้กับประชาชน ตนจะขอเป็นคนกลางในการพูดคุยประสานงาน เพราะคิดว่าทุกฝ่ายต้องปรับตัว พรรคก้าวไกลจำเป็นต้องถอยในเรื่องนี้ เพื่อเดินหน้าเป็นนายกฯ ขณะที่ฝ่ายอื่นก็ต้องถอยเช่นกัน เป็นการประนีประนอมระหว่างกัน ตนเชื่อว่าจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เพื่อให้คนมองประเทศชาติและสถาบันเป็นสากล ยืนยันว่า สิ่งที่ตนรับรู้มาแตกต่างจากแนวคิดอนุรักษนิยมตกขอบ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่พรรคภูมิใจไทยที่ออกแถลงการณ์ไม่สนับสนุน และไม่โหวตให้กับพรรคที่เสนอแก้หรือยกเลิกกฎหมายมาตรา 112 นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนมองว่าคนพวกนี้แพ้แล้วควรเงียบไปดีกว่า พรรคภูมิใจไทยควรที่จะเงียบ ซึ่งคะแนนก็ไม่ได้แพ้เพราะได้ ส.ส. เยอะกว่าเดิมถึง 70 คน ซึ่งจะต้องเข้าใจว่า พรรคภูมิใจไทยถูกดีดให้ไปเป็นฝ่ายค้าน ที่จะไม่โหวตให้อยู่แล้ว แต่หาคำพูดเพื่อให้ตัวเองดูดี พร้อมตั้งคำถามว่าหากไม่มีเรื่องมาตรา 112 พรรคภูมิใจไทยจะยอมโหวตให้หรือไม่
อีกทั้ง หากพรรคภูมิใจไทยยืนยันว่า ถ้าไม่มีเรื่องมาตรา 112 จะโหวตให้ ตนเองจะไปบอกพรรคก้าวไกลว่า ยังไม่ต้องทำเรื่องดังกล่าว เพราะ ประเทศชาติยังมีอีกกว่าพันเรื่องที่จะต้องดำเนินการ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้กระทบอะไรกับเรื่องอะไรที่มากนัก และเป็นเรื่องที่จะต้องไปเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยปัจจุบันเรื่องปากท้อง เศรษฐกิจ และเรื่องอื่นๆ อีกเยอะแยะที่รอพรรคก้าวไกลอยู่
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยประกาศว่าจะเดินทางกลับประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม จะส่งผลกระทบอะไรกับประเทศหรือไม่ นายชูวิทย์ ระบุว่า ตนในฐานะคนไทยยินดีด้วยกับนายทักษิณหากจะได้เดินทางกลับมา เพราะนายทักษิณเป็นคนไทย เมื่อเดินทางไปต่างประเทศก็ย่อมคิดถึงประเทศไทย พร้อมแนะนำให้นายทักษิณเดินทางกลับมา และตนก็คิดเหมือนกับทักษิณว่ามันมีสิ่งที่ไม่ยุติธรรมอยู่ และมาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลได้ดูแลกระทรวงยุติธรรม จะทำให้นายทักษิณได้ต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม และรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ถูกกลั่นแกล้งได้
“คุณทักษิณกลับมาเถอะครับ คุณทักษิณพูดหลายครั้ง ก็อยากให้คุณทักษิณกลับมา เพราะทุกคนเข้ามาสู่กระบวนการ และมีการนิรโทษกรรม ซึ่งสิ่งนี้จะต้องปรากฎอยู่ใน MOU เพราะพรรคเพื่อไทยต้องการ” นายชูวิทย์กล่าว