ปลัดฯ แรงงาน ชู 4 มาตรการเยียวยาแรงงานไทยในอิสราเอล
ปลัดกระทรวงแรงงาน ยันต้องยึดความปลอดภัยเป็นหลัก ชู 4 มาตรการเยียวยาแรงงานไทยในอิสราเอล รับเงินเยียวยา-หางานใหม่ให้-เจรจาพักหนี้-พัฒนาฝีมือแรงงาน มอบทูตแรงงานติดตามค่าแรงค้างจ่าย เผยผู้ประสงค์เดินทางกลับ 7,900 คน คาดมาถึงไทยครบในสิ้นเดือนนี้
วันนี้ (17 ต.ค. 66) นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์กับ The Reporters หลังได้มีการรับแรงงานไทยที่ทำงานในประเทศอิสราเอลกลับมาเป็นจำนวนหนึ่งแล้ว มีจำนวนเพิ่มขึ้น หากรวมที่กลับมาถึงวันนี้จะมีจำนวนกว่า 1,000 รายแล้ว เป็นจำนวนที่น่าพึงพอใจเพราะอย่างน้อยแรงงานก็เดินทางกลับมากขึ้นในแต่ละวันเป็นเรื่องน่ายินดีที่แรงงานถ่ายได้เดินทางกลับมาสู่อ้อมอกของครอบครัว ประเด็นในการเกิดสงครามครั้งนี้ทำให้เราต้องคิดใหม่ในการส่งแรงงานในประเทศที่เกิดภาวะสงคราม กระทรวงแรงงานต้องหามาตรการป้องกันการเกิดอันตรายต่อชีวิตของแรงงานไทย และยังมีแรงงานไทยอีกหลายร้อยคนที่ยังรอส่งไปประเทศอิสราเอล เพราะได้สมัครเป็นสมาชิกประเทศอิสราเอลแล้ว กระทรวงได้แจ้งกรมการจัดหางานระงับการจัดส่งแรงงานไปเพิ่มเติมแล้ว ต้องคิดใหม่ ไม่มองเพียงเรื่องค่าจ้าง แต่คำนึงถึงความปลอดภัยของแรงงานเป็นลำดับแรก
นายไพโรจน์ กล่าวว่า มีผู้แสดงความต้องการเดินทางกลับ ข้อมูลล่าสุดเวลา 15:00 น. มีประมาณ 7,900 คนแล้ว บ่งบอกว่าแรงงานไทยรู้สึกอยากกลับบ้านมากขึ้นเมื่อเจอความไม่ปลอดภัยต่อร่างกายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ส่วนผู้ที่ได้เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นแรงงานที่ทำงานในพื้นที่สีแดง อีกส่วนหนึ่งทำงานในเขตภาคเหนือ ภาคกลาง ที่เริ่มมีภาวะสงครามแล้ว หลายคนคงกังวลว่าสถานการณ์จะเป็นเหมือนในพื้นที่ภาคใต้จึงทยอยเดินทางกลับมาก่อน
ผู้ที่ทำงานในพื้นที่สีแดงกว่า 5,000 คน นั้น เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเทลอาวีฟแจ้งว่าได้ส่งผู้ที่อยู่ในพื้นที่สีแดงกลับมาประเทศไทยเป็นกลุ่มแรก กลุ่มที่ส่งกลับโดยทูตไทยส่วนมากเป็นผู้ที่อยู่ในพื้นที่สีแดง ส่วนผู้ที่เดินทางกลับมาเองส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ของประเทศอิสราเอล แต่ที่เราดูข้อมูลผู้อยู่ในพื้นที่สีแดงมีไม่กี่ร้อยคนแสดงว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทำงานครบสัญญาจ้างแล้วไม่กลับประเทศ เพราะสัญญาจ้างอิสราเอลมีอายุ 5 ปี 3 เดือน เมื่อหมดสัญญาไม่เดินทางกลับไทยเพราะจะกลับไปไม่ได้แล้ว จึงอยู่เป็นแรงงานผิดกฎหมาย ก็อาจจะออกจากนายจ้างเดิมหรือเปลี่ยนพื้นที่ทำงานจากภาคเหนือ-ใต้ มาทำงานในพื้นที่สีแดงนี้ แต่ตนต้องชี้แจงว่า แรงงานที่เดินทางกลับครั้งนี้หากเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศจะได้รับเงินเยียวยาจากภาวะสงครามเป็นเงิน 15,000 บาท แต่ผู้ที่ทำงานเกินระยะเวลาสัญญาจ้างแล้วเดินทางกลับ หากยังอยู่ในระยะเวลา 7 ปี ก็จะได้รับเงินกองทุนนี้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบียบกองทุนฯ
ปลัดกระทรวงแรงงาน เผยว่า กระทรวงแรงงานมีมาตรการเยียวยาผู้ประสบภัยสงครามจากประเทศอิสราเอลทั้งหมด 4 มาตรการ ได้แก่ การเยียวยาเบื้องต้นจากเงินของกองทุนฯ 15,000 บาท, การหางานในแรงงานที่กลับมามีงานทำต่อทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากอยากกลับไปทำงานที่อิสราเอลต่อก็ส่งไปทำงานกับนายจ้างเดิมหรือนายจ้างใหม่โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม, หากไม่อยากกลับอิสราเอล กระทรวงแรงงานจะหาประเทศที่ต้องการแรงงานเกษตร เช่น ประเทศเกาหลี ประเทศออสเตรเลีย, การหางานในประเทศ ตอนนี้มีตำแหน่งว่างในระบบกรมการจัดหางานอยู่กว่า 400,000 อัตรา หรือหากทำอาชีพอิสระ จะหาแหล่งเงินกู้ไม่มีดอกเบี้ยให้ได้ หรือหากอยากพัฒนาฝีมือ ยินดีส่งไปพัฒนาฝีมือให้ และหากแรงงานมีค่าจ้างค้างจ่ายจากนายจ้างเดิม มอบหมายให้ทูตแรงงานติดตามให้แล้ว
นายไพโรจน์ ยังกล่าวถึงแรงงานอีกกว่า 20,000 คนที่ยังคงทำงานในประเทศอิสราเอล ยังไม่ประสงค์เดินทางกลับ กระทรวงแรงงานจะประสานงานกับนายจ้างให้ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้แรงงานไทยมากกว่านี้ อย่างบางแห่งมีหลุมหลบภัยไม่เพียงพอให้แรงงานไทยไปลบเหตุร้ายจากความรุนแรงได้ ดังนั้นต่อไปหากจะส่งแรงงานไป ต้องดูมาตรการของนายจ้างด้วยว่ามีมาตรการรับรองความปลอดภัยของแรงงานไทยแค่ไหน ดังนั้นต้องพิจารณาการส่งแรงงานไทยไปทำงานที่อิสราเอลด้วย การพิจารณาเรื่องความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เมื่อถามถึงการพิจารณาส่งแรงงานไปทำงาน ว่าพื้นที่ทำงานนั้นไม่ควรเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยจากภาวะต่างๆ นายไพโรจน์ กล่าวเห็นด้วยโดยระบุว่า เมื่อสองปีที่แล้วมีการโจมตีจากประเทศต่างๆใกล้กับประเทศอิสราเอล มีการโจมตีทางอากาศ ซึ่งประเทศอิสราเอลสามารถสกัดได้ แรงงานไทยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มีความรุนแรงอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน มีหลายรูปแบบ ตั้งตัวไม่ทัน ดังนั้นต่อไปแรงงานไทยที่จะทำงานในประเทศอิสราเอลต้องคิดใหม่ และหาวิธีการที่จะทำให้คนไทยมีความปลอดภัยทางร่างกายเป็นสำคัญ
ส่วนแรงงานดีกว่า 22,000 คนที่ยังเหลือระยะสัญญาจ้างอยู่นั้น ปลัดกระทรวงแรงงาน บอกว่า แต่ละคนมีปัจจัยแตกต่างกัน เพราะการเดินทางไปนั้นต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างกันประมาณ 70,000 ถึง 100,000 บาท และต้องการไปทำงานเพื่อใช้หนี้ จึงเสนอให้ธนาคารที่เขากู้เงินไปนั้น พักการชำระหนี้ได้หรือไม่ หรือแบ่งเบาการผ่อน หยุดการชำระ ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ หรือแม้บางคนมีหนี้นอกระบบก็อยากให้ธนาคารให้กู้เงินเพื่อนำหนี้กลับเข้ามาอยู่ในระบบ เขาจะได้สบายใจ ไม่ต้องทำงานเพื่อหาเงินไปใช้หนี้ในพื้นที่เสี่ยงอันตราย โดยหลังจากนี้จะมีการประสานไปยังตัวแทนกรมการจัดหางานประสานกับธนาคารต่างๆ เป็นแนวคิดที่อยากแบ่งเบาภาระแรงงาน ให้ไม่มีภาวะหนี้สินหรือดอกเบี้ย เชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้แรงงานไทยสบายใจในการเดินทางกลับ
นายไพโรจน์ คิดว่า ประเทศอิสราเอลยังอยากให้แรงงานไทยกลับไปทำงานเหมือนเดิม เพราะยังมีความนิยมใช้แรงงานไทยไปทำงานในภาคเกษตร แต่เราต้องเจรจากับอิสราเอลถึงการป้องกันปัญหาความปลอดภัยให้กับแรงงานไทยอย่างไรด้วย
รวมถึงกรณีการบังคับทำงานต่อ การขายต่อ ปกติหากนายจ้างเก่าอยู่ในภาวะไม่สามารถทำงานต่อได้อาจนำลูกจ้างไปส่งเปลี่ยนนายจ้าง เป็นสิ่งถูกต้องตามกฎหมายอิสราเอล แต่ต้องเป็นไปตามความยินยอมของแรงงานด้วย ซึ่งตนไปสอบถามไปที่ทูตแรงงานยืนยันว่าไม่มีการขายแรงงาน แต่เป็นการเปลี่ยนนายจ้าง ส่วนการบังคับให้ทำงานต่อในภาวะสงคราม ทูตแรงงานได้ประสานกับทางการอิสราเอล และทูตอิสราเอลประจำประเทศไทยก็รับปากจะดำเนินการเรื่องนี้โดยด่วน เพราะการทำงานต่อนั้นขึ้นอยู่กับความสมัครใจของแรงงาน
นายไพโรจน์ เผยว่า ขณะนี้ได้อพยพแรงงานที่อยู่ในพื้นที่สีแดงออกมาได้เกือบหมดแล้ว ขั้นตอนต่อเป็นการอพยพกลับมาประเทศไทย คาดว่าจะดำเนินการได้ในสิ้นเดือนนี้ เหลืออีก 7,000 คน ทยอยกลับมาทุกวันจนครบ