‘ชูวิทย์’ หอบหลักฐานยื่นรอง ผบ.ตร. จ่อ แฉต่อเปิดโปงนายทุนครั้งสุดท้าย 21 ส.ค. นี้
วันที่ (17 ส.ค. 66) เวลา 10:00 น. ที่สโมสรตำรวจ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำหลักฐานเข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. โดยระบุุว่า เอกสารหลักฐานที่นำมายื่นต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ มีใจความสำคัญอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือที่ดินถนนสารสิน ขอให้มีการตรวจสอบว่ามีการกระทำการหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ โดยตนเองมีรายละเอียดว่าการโอนที่ดินดังกล่าวมีการแยกโอน 12 คน 12 วัน ใช้เวลารวมสาเหตุถึง 3 อาทิตย์ เพื่อเป็นการเลี่ยงจ่ายภาษีแบบกลุ่มบุคคล
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า กรมที่ดิน กรมสรรพากร และคำพิพากษาของศาล ล้วนมีการตัดสินพฤติการณ์เช่นนี้มาก่อนแล้ว แต่การที่ตนนำข้อมูลที่สำคัญมาให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพื่อให้เรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาสอบสวน ว่าพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการหลบเลี่ยงภาษี และไม่ใช่การวางแผนภาษี
สำหรับข้อมูลอีกส่วนที่นำมายื่น คือเรื่องที่ดินย่านทองหล่อ โดยนายชูวิทย์ กล่าวว่า มีการจัดตั้งนอมินีขึ้นมา 3 ราย เป็นแม่บ้าน 1 ราย และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 2 ราย มีชื่อเข้ามาแสดงซื้อขายที่ดิน นายชูวิทย์ ตั้งข้อสงสัยว่า นอมินีทั้ง 3 คนนี้เป็นของใคร ซึ่งคำถามนี้สามารถสังเกตได้คือวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 บุคคลทั้ง 3 ได้เงินมาจากใคร อีกทั้งในวันเดียวกันพบว่ามีการทำ 3 นิติกรรม คือเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นบริษัท N , กู้เงิน 1 พันล้านบาทจากบริษัท อ. และการปลดจำนองหนี้กับธนาคาร 465 ล้านบาท
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ตนขอให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เรียกตัวในส่วนผู้ขายที่ดินที่มีตัวตนชัดเจน ซึ่งเป็นนายแพทย์อยู่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง มาสอบถามว่าในการเจรจาขายที่ดินนั้น ได้เจรจากับใครตนเชื่อว่าหมอไม่กล้าโกหก หมอก็กลัว และคิดว่าหมอไม่ได้เจรจาซื้อที่ดินหลักร้อยล้านกับแม่บ้าน หรือ รปภ. อย่างแน่นอน รวมถึงต้องเรียกแม่บ้าน และ รปภ. ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยวข้องในการซื้อที่ดิน มาสอบถามว่า สรุปแล้วใครเป็นผู้ไปทำนิติกรรมซื้อขาย ใครเข้าประชุมบริษัท ใครไปที่กรมที่ดินเพราะในเมื่อ บุคคลทั้ง 3 ปรากฎชื่อเป็นผู้รับซื้อที่ดิน และกู้ยืมเงินจากบริษัทแสนสิริ
“ส่วนตัวไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องประเด็นการเมือง จึงขอรบกวนท่านรอง ผบ.ตร.เพราะท่านเป็นคนตรงไปตรงมาและชัดเจนหวังว่าบ้านเมืองนี้จะมีคนที่ชัดเจนตรงไปตรงมา แค่สอบแม่บ้าน สอบ รปภ. สอบเจ้าของที่ดินเก่า ก็ถือว่าจบแล้ว” นายชูวิทย์ กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมต้องมีการจัดแถลงครั้งสุดท้ายใกล้วันโหวตนายกรัฐมนตรี นายชูวิทย์ กล่าวว่า เพราะมีผู้ใหญ่โทรศัพท์มาสั่งการต่างๆ แต่ตนไม่ขอเปิดเผยชื่อ ขอเก็บเรื่องนี้ไว้กับตนถึงวันตาย อย่างเมื่อวานนี้ (16 ส.ค. 66) มีคนโทรสั่งการไม่ให้ตำรวจมารับเรื่องร้องเรียนตน ตนขอฝากไปถึงคนที่สั่งการว่า การกระทำแบบนี้ไม่มีประโยชน์ และที่บอกว่าเคลียร์หมดแล้วจ่ายเงินหมดแล้วตนไม่เคยรับเงินใครและ การที่เอาเรื่องลูกตนมาพูด ตนเป็นคนมีทรัพย์สินอยู่แล้วเรื่องนี้ไม่จำเป็น
เมื่อถามว่ากรณีของบุคคลทั้ง 3 ที่ระบุว่าเป็นนอมินีเป็นการถูกสวมบัตรประชาชนหรือไม่ เพราะทั้ง 3 คนออกมาปฎิเสธว่าไม่รู้เรื่อง นายชูวิทย์กล่าวว่า ตามหลักธนาคารจะปล่อยกู้หลัก 1 พันล้านบาท ธนาคารต้องตรวจสอบผู้กู้อย่างเข้มงวด คงไม่ได้ง่ายเหมือนการกู้เงินผ่านแอปพลิเคชั่น หรือเปิดบัญชีให้คอลล์เซ็นเตอร์
เมื่อถามต่อว่า กรณีผู้ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่าการขายที่ดินของบริษัทของลูกนายชูวิทย์มีการขายที่ดินมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทและหลบเลี่ยงภาษีกว่า 900 ล้านบาท นายชูวิทย์ กล่าวว่า บริษัทของลูกตนไม่มีนอมินี พร้อมถามกลับสื่อมวลชนว่า รู้ไหมว่าตนเรียนจบอะไร ตนเรียนจบภาษี ไม่ได้ทำ
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำหรับกรณีนี้ที่ยื่นเรื่องให้ตรวจสอบตนจะรับเรื่องไว้ดำเนินการทั้งหมด และจะตรวจสอบทุกกรณีเพื่อจะทำให้ความจริงปรากฏ เรื่องนี้จะต้องทำความจริงให้ปรากฏต่อสังคมอย่างตรงไปตรงมา จากนี้ก็จะมีการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด หากพบการกระทำผิดส่วนไหนก็จะดำเนินการในส่วนนั้น
โดยหลังจากรับเอกสารแล้วจะขอพูดคุยกับนายชูวิทย์ถึงประเด็นต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการดำเนินการต่อไป เรื่องนี้จะพยายามเร่งรัดดำเนินการให้เร็ว การสอบพยานบุคคลต่างๆ ถ้าเข้าข่ายความผิดก็ต้องดำเนินการไป ตามอำนาจหน้าที่ แต่ถ้าไม่ผิด ก็ต้องไม่ผิด บ้านเมืองมีระบบตรวจสอบใครจะโกหกใครทำไม่ได้ต้องทำอย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม นายชูวิทย์ระบุอีกว่า ในวันจันทร์ ที่ 21 สิงหาคมนี้ ตนจะจัดแถลงข่าวเป็นตอนสุดท้าย และจะเปิดเผยข้อมูลให้เห็นธาตุแท้ของนายทุน
