‘รังสิมันต์’ จวก ‘เพื่อไทย’ ไร้กระดูกสันหลัง หลังตีตกร่างนิรโทษกรรมภาคประชาชน
‘รังสิมันต์’ จวก ‘เพื่อไทย’ ไร้กระดูกสันหลัง ไม่ควรเรียกตัวเองเป็นตัวแทนนักสู้ประชาธิปไตย ‘ก้าวไกล‘ ยัน สู้ต่อในชั้น กมธ. การพิจารณาต้องโปร่งใส มองอย่างน้อยครอบครัวนักโทษการเมืองควรรับทราบ
วันนี้ (17 ก.ค. 68) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงมติของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวานนี้ (16 ก.ค. 68) ที่ตีตกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของพรรคก้าวไกล และของภาคประชาชน โดยเปิดเผยว่า รู้สึกผิดหวังที่สุดท้ายแล้ว การนิรโทษกรรมดูเป็นการเลือกปฏิบัติ หากเราพิจารณาดี ๆ หากร่างของภาคประชาชนมีความชัดเจนว่าหมายรวมใครบ้าง ส่วนของพรรคประชาชนเราเปิดประตูให้กว้างที่สุด การพิจารณาว่ากรณีไหนจะได้หรือไม่ได้ ต้องไปดูในรายละเอียดของคดี หรือการออกแนวทางกำหนดเงื่อนไขบางประการที่อาจทำให้สามารถยอมรับกันได้มากขึ้น อยู่ที่ปัจจัยทางการเมืองเมื่อในวันนั้นว่าสังคมรู้สึกอย่างไร แต่อย่างน้อยเราจะไม่กีดกันใคร
“เรารู้ว่าแต่ละคดียากง่ายไม่เหมือนกัน อาจต้องมีการพูดคุยสร้างความเข้าใจ แต่ด้วยความใจแคบของรัฐบาล และคิดแต่เพียงพวกพ้องไม่ได้สนใจการคลี่คลายปัญหา สุดท้ายจึงทำให้การนิรโทษกรรมทำได้อย่างจำกัด” นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามถึงจุดยืนของพรรคประชาชนในชั้นกรรมาธิการ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราต้องทำให้ดีที่สุดอย่างน้อยร่างหลักของพรรครวมไทยสร้างชาติก็ไม่ได้เขียนไว้ในหลักการว่าไม่ให้รวมถึงการนิรโทษกรรมคดีมาตรา 112 ก็คงต้องไปพูดคุยกัน ถ้าพรรครัฐบาลยังแข็งเหมือนเดิมในชั้นกรรมาธิการก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนักในการผลักดัน แต่เราก็ต้องทำให้เต็มที่
“อย่างน้อยการพิจารณาเรื่องนี้ต้องโปร่งใสประชาชนทุกคนรวมถึงครอบครัวของผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ยังอยู่ในเรือนจำ และตัวแทนต่าง ๆ ที่นั่งอยู่ในกรรมาธิการ ทั้ง สส. และไม่ใช่ สส. ก็ตาม คิดอะไร พูดอะไร เพราะกฎหมายฉบับนี้มีส่วนได้เสียต่อโชคชะตา และชีวิตของคนหลายคน ซึ่งเขามีความปรารถนาดีต่อประเทศชาติ ดังนั้นหากไม่ได้มีทิศทางที่ดีต่อครอบครัวหรือประชาชน เขาก็ควรมีสิทธิ์รู้ และตัดสินใจ” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยลงมติเห็นชอบให้ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข ที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทยนั้น นายรังสิมันต์ กล่าวว่า คงไม่ใช่แค่โหวตเห็นชอบให้ร่างของพรรคใดพรรคหนึ่ง เพราะหากพิจารณาแล้ว ร่างของพรรครวมไทยสร้างชาติ และภูมิใจไทยก็มีเนื้อหาใกล้เคียงกันมาก จึงไม่ได้น่าแปลกใจอะไร แต่ที่แปลกใจกับพรรคเพื่อไทยคือ ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่พยายามพูดมาตลอดว่า เป็นตัวแทนของเสียงประชาธิปไตย ตัวแทนของคนที่เคยต่อสู้ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และความยุติธรรม แล้วพรรคเพื่อไทยควรทราบดีว่าผู้เห็นต่างทางการเมืองที่ถูกกลั่นแกล้งทางกฎหมายขนาดไหน แม้แต่มาตรา 112 เองก็มีการดำเนินคดีกับคนจำนวนมากที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย แต่เหตุใดพรรคเพื่อไทยกลับเลือกหันหลังให้ทั้งร่างของภาคประชาชน และร่างที่พยายามจะรวมทุกความแตกต่างให้มากที่สุดอย่างของพรรคประชาชน
“ผมคิดว่าพรรคเพื่อไทยไม่ควรจะเรียกตัวเองว่าเป็นพรรคของฝ่ายประชาธิปไตยอีกแล้ว พรรคเพื่อไทยไม่ควรเรียกตัวเองว่าเป็นพรรคตัวแทนของการต่อสู้ของผู้เห็นต่างทางการเมืองอีกแล้ว เพราะคุณคือส่วนหนึ่งของการปล่อยให้คนที่เห็นต่างทางการเมืองติดคุกต่อไป โดยที่คุณไม่มีแม้แต่เสี้ยวหนึ่งของหัวใจในการรับผิดชอบ หรือใช้อำนาจแก้ปัญหาเรื่องนี้ คุณคือพรรคการเมืองที่ปราศจากซึ่งกระดูกสันหลังแห่งความกล้าหาญในการพาสังคมไทยฝ่าออกจากวิกฤต” นายรังสิมันต์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า เมื่อพูดถึงพรรคเพื่อไทยต้องขอแยกออกจาก สส. พรรคเพื่อไทย ทั้ง 6 ท่าน ที่ลงมติเห็นชอบให้ร่างของภาคประชาชน และของพรรคก้าวไกล ส่วนตัวก็ขอขอบคุณทั้ง 6 ท่านที่ได้ลงมติสนับสนุน อย่างน้อยที่สุดก็มีบางท่าน ที่เราพอจะยกมือไหว้ได้อย่างรู้สึกดี แต่ต้องยอมรับว่า ความคาดหวังของตนเองไม่ใช่แค่ 6 คน แต่ความคาดหวังคือพรรคการเมือง เช่น เวลาประชาชนคาดหวังต่อพรรคของเราคงไม่ได้คาดหวังเพียงนายรังสิมันต์ ก็คงคล้ายกัน ขอขอบคุณทั้ง 6 คน แต่ก็ยังเสียดายที่พรรคเพื่อไทยมีพฤติกรรมแบบนี้ ซึ่งชัดเจนว่าพรรคเพื่อไทยก็มีอุดมการณ์ ความคิด ความเชื่อ ไม่ต่างจากพรรคการเมืองอื่นอีกแล้ว












