‘จตุพร’ ชี้ 13 มิ.ย. ชี้ชะตากจตุพร พรหมพันธุ์ารเมืองไทย มั่นใจหลักฐานมัด ‘ทักษิณ’
วันนี้ (17 พ.ค. 68) ที่สวนสันติพร อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ให้สัมภาษณ์โดยเชื่อว่าวันที่ 13 มิถุนายนนี้ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดไต่สวนนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเป็นวันตัดสินสถานการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญ โดยมั่นใจว่าพยานหลักฐานจากมติของแพทยสภาจะแล้วเสร็จทันการณ์
นายจตุพร กล่าวถึงกรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยังไม่ให้ความเห็นชอบมติแพทยสภาว่า หากนายสมศักดิ์จะมีความเห็นแย้ง ก็ต้องดำเนินการภายใน 15 วัน หรือภายในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ขณะที่แพทยสภามีกำหนดประชุมใหญ่ในวันที่ 8 มิถุนายน จึงคาดว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนวันที่ 13 มิถุนายน เช่นเดียวกับฝ่ายโจทก์จำเลย ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ ที่ต้องทำคำชี้แจงภายในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้เช่นกัน
นายจตุพร ยังตั้งคำถามถึงเหตุผลที่นายสมศักดิ์อาจใช้ในการโต้แย้งมติแพทยสภา โดยอ้างถึงคำแถลงของ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภาคนที่ 1 ที่ระบุว่ามติเป็นเสียงส่วนใหญ่มาก ซึ่งนายจตุพรตีความว่าเกือบเป็นเอกฉันท์ พร้อมทั้งกล่าวหาว่ามีการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับอาการป่วยของนายทักษิณมาตั้งแต่ต้น โดยอ้างว่าคำให้สัมภาษณ์ของนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจขัดแย้งกับข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ และคำให้การต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ที่มีนายรังสิมันต์ โรม เป็นประธาน ซึ่งระบุว่าไม่มีแพทย์ตรวจรักษานายทักษิณที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์จริงจังก่อนส่งตัว
แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน คาดการณ์ว่าการพิจารณาคดีลักษณะนี้มักจบภายในวันเดียว และชี้ว่าหากนายทักษิณไปศาลแล้วศาลสั่งจำคุก หรือหากนายทักษิณไม่ไปศาลและเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้ง สถานการณ์การเมืองก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นายจตุพร แสดงความเห็นว่า หากนายทักษิณมีความกล้าที่จะเข้าเรือนจำจริง คงไม่หลบหนีไปต่างประเทศนานถึง 17 ปี พร้อมตั้งความหวังว่าครั้งนี้นายทักษิณจะใช้ความกล้าหาญเดินเข้าสู่เรือนจำอย่างสง่างาม
นอกจากนี้ นายจตุพรยังกล่าวถึงคำร้องเรื่องการแปรญัตติงบประมาณปี 2568 ที่อาจเชื่อมโยงกับการแจกเงินดิจิทัลหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งหากพบว่ามีความผิดจริง อาจนำไปสู่การพ้นจากตำแหน่งและตัดสิทธิ์ทางการเมืองของ สส. สว. และคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ส่วนกรณีการเลือก สว. ที่มีการกล่าวหาว่ามีการตกลงกันล่วงหน้านั้น นายจตุพรเห็นว่าการดำเนินการผ่านศาลรัฐธรรมนูญอาจรวดเร็วกว่ากระบวนการของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
เมื่อถามถึงเสถียรภาพของรัฐบาล นายจตุพรวิเคราะห์ว่า การจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้วเป็น “ความรักที่ผิดธรรมชาติ” มาตั้งแต่ต้น เนื่องจากพรรคการเมืองที่เคยหาเสียงโจมตีกันอย่างหนักกลับมาร่วมมือกัน ถือเป็นการหักหลังประชาชน ทำให้เกิดความขัดแย้งภายใน และคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะเผชิญความยากลำบาก โดยเฉพาะการพิจารณางบประมาณรายจ่ายปี 2569 ที่หากไม่ผ่าน นายกรัฐมนตรีอาจต้องยุบสภาหรือลาออก รวมถึงประเด็นบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายและการเลือก สว. ที่อาจเป็นปัจจัยสั่นคลอนเสถียรภาพ
นายจตุพร กล่าวทิ้งท้ายว่า “เชื่อว่าเวลาของอุ๊งอิ๊ง (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร) ใกล้เต็มทีแล้ว ซึ่งถ้าพ่อยังอยู่ คุณอุ๊งอิ๊งก็ยังอยู่ แต่ถ้าพ่อไปก็ต้องไปตามพ่อนั่นแหละ” และหากวันที่ 13 มิถุนายนนี้ นายทักษิณถูกตัดสินว่ามีความผิด น.ส.แพทองธาร ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าเยี่ยม อาจเข้าข่ายร่วมปกปิดความผิดและเผชิญปัญหาจริยธรรมทางการเมือง พร้อมเปรียบเปรยว่า “การเป็นนายกฯ ก็เหมือนการขึ้นลานประหาร จะอยู่ที่ว่าคุณจะลงก่อน หรือโดนประหารก่อน”