‘สุเทพ’ เข้าสอบปากคำนัดแรก ปม ทุจริตก่อสร้างโรงพัก
‘สุเทพ’ เข้าสอบปากคำไต่สวนนัดแรก ข้อกล่าวหาคดีทุจริตก่อสร้างโรงพัก ยืนยันบริสุทธิ์ เชื่อคดีจบในปีนี้ และ ผลพิพากษาจะออกมาถูกใจ
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความ เดินทางมายังศาลฎีฎาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อสอบปากคำให้การนัดแรก ในคดีที่ ปปช. ยื่นฟ้อง ฐานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรณีอนุมัติเปลี่ยนเเปลงวิธีจัดซื้อจัดจ้างโครงการสร้างโรงพักทดเเทน 396 เเห่ง พร้อมจำเลยรวม 6 คน
นายสุเทพ เปิดเผยก่อนเข้าห้องพิจารณาคดีว่า เป็นโอกาสดีที่จะได้ชี้แจงข้อกล่าวหาในประเด็นดังกล่าว หลังจากถูกสังคมมองว่ามีความผิด ถูก ปปช.ฟ้องว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งความจริงคดีนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแต่การไต่สวนยาวนานถึง 6 ปี และอัยการสูงสุดก็สั่งไม่ฟ้อง พร้อมส่งสำนวนคืนให้กับ ป.ป.ช. แต่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องเอง โดยการไต่ศาลนัดแรก จะยื่นคำให้การเป็นเอกสารโดยย่อจำนวน 31 หน้า เพื่อแสดงให้เห็นแนวทางการต่อสู้คดี คิดว่าหลังจากวันนี้คดีจะไม่ยึดเยื้อแล้ว อาจจะใช้เวลา 1-3 เดือน และน่าจะจบได้ภายในปีนี้
นายสุเทพ ยืนยันว่าไม่ได้กระทำผิด ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีและกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีไม่มีเรื่องการกำหนดวิธีจัดซื้อจัดจ้าง แต่เป็นเรื่องของหัวหน้าส่วนราชการในยุคนั้นที่จะจัดซื้อจัดจ้าง โดยแบ่งเป็นภาค ซึ่งตนก็เห็นว่าเป็นวิธีการจัดซื้อจัดจ้างที่ดีที่สุด ที่พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนั้นเสนอมา ตนจึงให้ความเห็นชอบ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไม่ได้ขอตั้งงบประมาณ ต่อมาเมื่อมีการจัดตั้งงบประมาณ แทนที่จะทำเป็น 9 โครงการ แต่กลับทำเป็นสัญญาเดียว
ต่อมา พลตำรวจเอกปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แย้งว่า สัญญาดังกล่าวทำไม่ได้เพราะเข้าข่ายแบ่งซื้อแบ่งจ้างผิดกฎหมาย เนื่องจาก พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ออกแล้ว จึงเสนอว่า วิธีที่ตนเห็นชอบขณะนั้น ต้องยกเลิกเปลี่ยนมาเป็นสัญญาเดียว เพราะตรวจสอบ พรบ.งบประมาณ พบว่า ทำเป็นสัญญาเดียว จึงมีการอนุมัติตามที่ขอมา จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีประมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์ มีผู้เข้าแข่งขัน 5 ราย ผู้ชนะการประมูลเสนอต่ำกว่าราคากลาง 540 ล้านบาท
ต่อมา พลตำรวจเอก วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คนต่อมา ได้ทำเรื่องเสนอและยืนยันดำเนินการอย่างถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุด้วยวิธีการจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ จึงได้เซ็นลงนามตามเสนอ จากนั้นตนพ้นจากตำแหน่ง ทราบว่ามีการขยายเวลาก่อสร้างอีก 270 วัน ทำให้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ นำเรื่องนี้มาโจมตีหวังผลทางการเมืองเพื่อช่วยพลตำรวจเอกพงศพัฒน์ พงษ์เจริญ หาเสียงในช่วงการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ซึ่งตนก็ได้ยื่นฟ้องนายธาริต จนนำไปสู่การตัดสินจำคุก และนายธาริตก็นำเรื่องนี้ไปยื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช. แต่ทางป.ป.ช.ไม่รับฟังพยานบุคคลที่รู้ข้อเท็จจริง เช่น เลขาธิการ และรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี รวมถึงผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ซึ่งตนจะนำบุคคลเหล่านี้มาซักค้านในการต่อสู้คดีนี้ด้วย เพราะอำนาจศาลฎีกาสามารถเรียกพยานบุคคลและเอกสารมาให้ปากคำได้ ส่วนหากชนะคดี จะฟ้องกลับ ป.ป.ช.หรือไม่นั้น อยากให้รอดูตอนจบ












