POLITICS

อ.นิติศาสตร์ เปิดคำวินิจฉัยส่วนตนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ยืนยันทำประชามติ 2 ครั้งเพียงพอ แนะแก้ รธน.รายมาตรา ลบปัญหารัฐประหาร-ที่มาองค์กรอิสระ

วันนี้ (16 ธ.ค.67) ศูนย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนา “ทำรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย: การทำประชามติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กับแนวทางการแก้ไขรายมาตรา“ณ ห้องศาลจำลอง คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล ผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าย้อนถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการทำประชามติ ขณะที่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ก็มีการจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญปี 2559 ซึ่งก็ใช้เสียงข้างมากธรรมดาชั้นเดียว อย่างไรก็ตามการใช้เสียงมากสองชั้น ใน พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564 มาตรา 13 ระบุไว้ว่า ”การออกเสียงที่ถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติ ต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่จะทำประชามตินั้น“

ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ไม่ควรแก้เรื่องที่ต้องทำประชามติ โดยมาตราที่ควรแก้คือมาตรา 279 เพื่อแก้ปัญหารัฐประหาร และมาตรา 204 เรื่องการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบร่วมกันของรัฐสภา โดยต้องเปิดเผยโปร่งใสโดยไม่เล่นพรรคพวก นอกจากนี้จะต้องแก้ พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2563 เนื่องจากเราต้องการกรรมการที่ใช้ข้อกฎหมายในการตัดสิน ไม่ใช่การโหวต มาตราที่ควรแก้คือ มาตรา 58 ”หากศาลเห็นว่าคดีใดเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลอาจประชุมปรึกษาเพื่อพิจารณาและวินิจฉัยโดยไม่ทำการไต่สวนหรือยุติการไต่สวนก็ได้“ ดังนั้นศาลสามารถตัดได้ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงแม้จะเป็นสาระ ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญห่างไกลจากความเป็นศาล

โดยในมาตรา 75 กำหนดไว้ว่า ”ในการวินิจฉัยคดี ตุลาการซึ่งเป็นองค์คณะทุกคนต้องทำความเห็นส่วนตัวเป็นหนังสือ พร้อมทั้งแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุม และให้ที่ประชุมปรึกษาเรื่องกันก่อนแล้วจึงลงมติ“ เท่ากับว่ามีมติมาก่อนการประชุม ดังนั้นการปรึกษาหารือกันจึงไม่มีผลต่อการรับฟังข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย

รศ.ดร.ณรงค์เดช สรุโฆษิต คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับการทำประชามติ 2 ฉบับ ได้แก่ คำวินิจฉัย 18-22/2555 ที่ระบุว่า ”หากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ควรจะให้ประชาชนผู้มีอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญได้กับประชามติเสียก่อน“

ส่วนคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ”หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่า สมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วย จึงดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เมื่อเสร็จแล้วต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่า เห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง“

เมื่อเปิดรายชื่อคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพบว่า นายจิรนิติ หะวานนท์ มีความเห็นต้องแก้ไขเป็นรายมาตรา และกระทำโดยรัฐสภาเท่านั้น จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาทำหน้าที่แทนไม่ได้ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม มีความเห็นว่าน่าจะทำประชามติ 2 ครั้ง ด้านนายวิรุฬห์ แสงเทียน, นายนภดล เทพพิทักษ์ และนายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ เห็นด้วยกับการทำประชามติ 2 ครั้ง

ส่วนนายนคิรนทร์ เมฆไตรรัตน์ และนายปัญญา อุดชาชน มีความเห็นว่ารัฐสภาแก้ไขธรรมนูญเองรายมาตราจะแก้ไขทั้งฉบับไม่ได้ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจำนวนมากเท่ากับเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ ขณะที่นายอุดม รัฐอมฤต เคยเป็นผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นประเด็นพิพาท และเคยถอนตัวมาแล้ว

Related Posts

Send this to a friend