POLITICS

‘พีระพันธุ์-พล.ท.กนก’ เชื่อ กัมพูชาจ้องขยับ ‘หลัก 73’ เปลี่ยนแนวเส้นเขตแดน

‘พีระพันธุ์-พล.ท.กนก’ เชื่อ กัมพูชาจ้องขยับ ‘หลัก 73’ เปลี่ยนแนวเส้นเขตแดน หวังฮุบทรัพยากรพลังงานใต้ทะเล หนุนไทยปรับแก้กฎเปิดเกมรุกตอบโต้ ชี้ ยิ่งปล่อยยืดเยื้อยิ่งเจอศึกหนัก

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ หารือร่วมกับ พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2 ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา โดยทั้งสองมองตรงกันว่า ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่สอดคล้องในการใช้แผนที่ ซึ่งแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ทำให้เรื่องเขตแดนไม่ค่อยมีปัญหา แต่เมื่อใดที่เรื่องเข้าสู่การเจรจาระหว่างประเทศผ่านกระทรวงการต่างประเทศ กัมพูชาจะเปลี่ยนไปใช้แผนที่ 1:200,000 และกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็ยึดถือแผนที่ 1:200,000 โดยไม่ประสานงานกับกองทัพ

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ไทยบางส่วนกลัวการประท้วงจากกัมพูชา และปัญหาที่มีอยู่ทุกวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่ไทยประเมินสถานการณ์ผิดพลาด โดยเราตกลงให้ใช้กำลังประจำถิ่น ซึ่งของไทยคือ ทหารพราน และ ตชด. ขณะที่ของกัมพูชามีลักษณะเป็นกองพล ทำให้ไทยเสียเปรียบและไม่ทันเกม

นายพีระพันธุ์ ตั้งข้อสังเกตว่า เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่แท้จริงของกัมพูชาไม่ใช่เรื่องแนวชายแดนบนบก แต่เป็นการรุกคืบเพื่อขยับหลักเขตที่ 73 ซึ่งเป็นหลักเขตสุดท้ายบนบก เพื่อหวังจะเปลี่ยนเส้นแนวเขตแดนทางทะเล ส่งผลต่อการอ้างสิทธิการครอบครองพื้นที่ทางทะเลบริเวณที่ยังเป็นข้อพิพาท และเป็นแหล่งทรัพยากรพลังงานใต้ทะเลมูลค่ามหาศาล

พล.ท. กนก ให้ข้อสังเกตว่า การสู้รบ หรือความพยายามรุกคืบตามแนวชายแดนบนบก โดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร อาจเป็นเพียงการไล่ตามเพื่อขยับหลักเขตแดนที่ 73 บริเวณชายหาด หากหลักเขต 73 เคลื่อนขึ้นมาทางเหนือแม้เพียงเล็กน้อยจะส่งผลให้เส้นเขตแดนบนแผนที่ 1:200,000 ขยับตามไปด้วย และจะทำให้กัมพูชาได้พื้นที่ในทะเลมากขึ้น

นายพีระพันธุ์ ระบุว่า กัมพูชายังใช้เทคนิคถมทะเล และสร้างสะพานหรือส่วนต่อยื่นจากแผ่นดินตั้งแต่ปี 2540 โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันคลื่น แต่อาจทำให้เขตแดนทางทะเลของกัมพูชาย้ายจุดจากชายหาดไปอยู่ตรงปลายแหลมที่ถม ไทยประท้วงสองครั้งในปี 2541 แต่เรื่องเงียบไป ก่อนจะประท้วงอีกในปี 2564 และ 2568 ซึ่งไม่เป็นผลและกัมพูชาก่อสร้างเสร็จแล้ว

พล.ท.กนก กล่าวว่า ผู้รับผิดชอบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมักลังเล และกลัวที่จะมีเรื่อง ทำให้ขาดความเด็ดขาด ขณะที่กัมพูชาเตรียมพร้อมและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่อเนื่อง นอกจากนี้ กฎการใช้กำลัง (Rules of Engagement: ROE) ซึ่งเป็นกฎที่กองทัพไทยตั้งขึ้น เป็นการล็อกให้หน่วยทหารต้องใช้กำลังในลักษณะตั้งรับเท่านั้น เช่น ข้าศึกไม่ยิงเราไม่ยิง หรือเขาใช้ปืนเล็กเราก็ใช้ปืนเล็ก ทำให้ทหารไทยขาดอำนาจในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ทั้งสองยังเห็นพ้องกันว่า กัมพูชามีเป้าหมายเพื่อนำเรื่องไปสู่ศาลโลก และหากการกระทำของกัมพูชาที่เข้าข่ายอาชญากรสงคราม เช่น ยิง BM-21 ใส่โรงเรียนหรือหมู่บ้าน รัฐบาลไทยต้องดำเนินการเอาผิดและให้กัมพูชารับผิดชอบ แต่เรื่องนี้กลับไม่เคยถูกนำมาเป็นข้อกำหนดในปฏิญญาสันติภาพ

ส่วนแนวทางแก้ไข ควรใช้ยุทธศาสตร์แบบรุก ทั้งบนบก และในทะเล กองทัพไทยควรเร่งปรับแก้กฎการใช้กำลังให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงต้องเร่งเสนอขอปรับปรุงงบประมาณสำหรับปีถัดไป โดยพิจารณาถึงกำลังพลและอาวุธที่จำเป็นจากภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจริง โดยพ ล.ท. กนก มั่นใจว่า ถ้าสู้กันด้วยกำลังทหาร กัมพูชาสู้ไม่ได้แน่ ไทยจะต้องทำให้กัมพูชาถอยร่นและออกไปจากแนวพิพาททั้งหมดตลอดแนว หากไทยปล่อยให้เรื้อรัง เชื่อว่ากัมพูชาจะแข็งแกร่งมากขึ้น

Related Posts

Send this to a friend