POLITICS

‘เพื่อไทย’ ชี้ รัฐบาลหลังศึกซักฟอก เหมือนคน ป่วยหนักเชื่อเลือกตั้งครั้งหน้า ปชช.ไม่ให้ที่ยืน ในสภา

พรรคเพื่อไทยจัดเสวนาในหัวข้อ “จนมุมกลางสภา แล้วยังกล้าไปต่ออีกหรือ?” นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา แม้จะไม่ทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่งทันที หากเปรียบเทียบเหมือนคนป่วยคือตายคาที่ เพราะมีเสียงสนับสนุนยกมือโหวตในสภา แต่เชื่อว่าจะตายระหว่างทางส่งโรงพยาบาลแน่นอน

คล้ายกับกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีในปี 2535 กรณีที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 หรือนโยบายปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมอบให้เกษตรกร ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจ สุดท้ายนายชวนประกาศยุบสภา และอีกกรณีคือ สมัยรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจกรณีการทุจริตธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือบีบีซี เมื่อปี 2539 จนทำให้รัฐมนตรีหลายคนลาออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา ซึ่งทั้งสองกรณีเรียกว่าจนมุมในสภา แม้จะไม่ยุบสภาทันที แต่ทนเสียงกดดันของประชาชนไม่ไหว ประกาศลาออกและยุบสภาในเวลาต่อมา

นายสุทิน ยอมรับการทำงานของฝ่ายค้านยุคใหม่ค่อนข้างยาก เนื่องจากการสื่อสารในปัจจุบันมีความรวดเร็ว จึงไม่จำเป็นต้องมีเซอร์ไพรส์ พรรคเพื่อไทยบอกข้อสอบให้หมดว่าจะอภิปรายในหัวข้ออะไรบ้าง แต่สุดท้ายฝ่ายรัฐบาลก็ไม่สามารถตอบคำถามได้ ไม่มีศิลปะในการตอบ ซ้ำยังตอบคำถามแบบเดินลุยโคลน ไม่สนใจข้อมูลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะพลเอกประยุทธ์เป็นโรคแพ้ไม่เป็น แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลว่ามีการกระทำการส่อทุจริตที่อาคารรัฐสภาชั้น 3 และออกมาปฏิเสธในภายหลัง แต่พรรคเพื่อไทยรู้ดีว่าในข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และแม้พรรคร่วมรัฐบาลจะยกมือโหวตแบบผิด ๆ เมื่อถูกจับผิดได้ จึงปลดร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเเรงงาน

เป็นการนำวิธีทางทหารมาตัดสินทางการเมือง ปลดผู้อื่นเพื่อสังเวยความผิด เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ ทำให้เกิดความปั่นป่วนภายในพรรค และเชื่อว่าจะเกิดอาฟเตอร์ช็อค จะมีการปลดคนในพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มอีกแน่นอน และในที่สุดจะสะดุดขาตัวเองล้มลง เกิดแรงกระเพื่อมในพรรคร่วมฝ่ายค้าน กระทบกับการบริหารประเทศ ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะย่ำแย่ ทั้งที่ประเทศอ่อนแอต้องการรัฐบาลที่เข้มแข็ง แม้จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แต่จะความเชื่อมั่นจะตกต่ำ เปรียบเหมือนเป็ดง่อย และคนซวยคือพี่น้องประชาชน

นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน กล่าวว่า เวลานี้รัฐบาลจนมุมในสภาแล้ว เพราะไม่สามารถตอบคำถามของพรรคร่วมฝ่ายค้านและชี้แจงในสภาได้ ซึ่งข้อมูลทุกด้านที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านอภิปรายในสภาจะถูกรวบรวมและนำไปสู่การตรวจสอบฝ่ายบริหารผ่านกระบวนการยุติธรรมต่อไป ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตไว้หลายด้าน ได้แก่

1.การบริหารราชการแผ่นดินของพลเอกประยุทธ์ มิชอบ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี และขัดต่อข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเอง

  1. พลเอกประยุทธ์ ไม่สามารถตอบข้อสงสัย ตอบไม่ตรงคำถามของฝ่ายค้าน และยังด้อยค่าฝ่ายค้านเพื่อลดทอนประเด็นปัญหาบ้านเมืองลงด้วยการมองว่าฝ่ายค้านอภิปรายด้วยถ้อยคำรุนแรงไม่สุภาพ แต่ไม่มองสาระสำคัญหรือเนื้อหาอภิปราย

3.การบริหารงานช่วงโควิดจนผิดพลาดมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก พลเอกประยุทธ์ ใช้อำนาจตนเองตั้ง ศบค. เป็นผู้สั่งการคณะทำงาน และเป็นผู้กำกับข้าราชการลงไปถึงระดับปลัดกระทรวง แต่กลับปฏิเสธความรับผิดชอบ ซึ่งมีหลักฐานคำสั่งมัดตัว

4.รัฐบาลทำให้ระบบสาธารณสุขล่มสลาย ไม่เตรียมการป้องกันดูแลรักษาประชาชน ปล่อยให้เกิดการระบาดจนประชาชนล้มตาย เป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จนได้รับความเสียหายจนถึงแก่ชีวิตของประชาชน

5.มีการกีดกันเอกชน เลือกปฏิบัติ ไม่ให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีน ด้วยการประกาศให้รัฐเท่านั้นที่สั่งซื้อได้ ทั้งที่รัฐมีหน้าที่แค่ติดต่อประสานงาน ทำให้ประชาชนไม่ได้รับวัคซีนที่ดีเพียงพอ ส่อทุจริตตลอดทั้งกระบวนการ

6.จัดซื้อชุดตรวจโควิด-19 ที่มีข้อสงสัยเรื่องคุณภาพ จนมีผู้กล่าวกันว่า การจัดซื้อชุดตรวจแบบ Antigen Test Kit หรือ ATK อาจกลายเป็น ATM ทั้งที่ ATK ควรเป็นเครื่องมือให้แพทย์ได้ตรวจประชาชนได้กว้างขวาง แต่เมื่อมีข่าวเรื่องการจัดซื้อที่ไม่โปร่งใส ครม.จึงรีบแก้มติ ครม. เปิดช่องให้จัดซื้อชุดตรวจที่มีข้อสงสัยเรื่องคุณภาพ เปลี่ยนสเป็ค เปลี่ยนวิธีการจัดซื้อ จนเปิดช่องให้บางบริษัทสามารถเข้ามาประมูลและชนะประมูลได้ ทั้งที่มีข้อกังขาทั้งเรื่องราคาและคุณภาพ ซึ่งเป็นเจตนาที่ส่อทุจริต

7.รัฐบาลนี้บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว ทำให้ศรัทธาประชาชนล้มเหลว และบริหารการสื่อสารของตนเองล้มเหลว ตัวนายกรัฐมนตรีเองได้รับคะแนนความไว้วางใจน้อยมาก นี่คือสัญญาณบอกเหตุว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่น่าจะไปต่อได้อีก

“ผมมั่นใจว่าคนป่วยที่ชื่อพลเอกประยุทธ์ จะไม่ตายก่อนถึงโรงพยาบาล แต่จะถึงโรงพยาบาลพอดีกับช่วงที่มีการโปรดเกล้ารัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมนี้” นายแพทย์ชลน่านกล่าว

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส. เชียงใหม่ กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศไทย (จีดีพี) ติดลบติดต่อกัน 2 ปี ถือว่าผิดปกติ สวนทางกับโลกที่เริ่มฟื้นตัว ที่เป็นแบบนี้เพราะประเทศไทยมีพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี บริหารประเทศผิดพลาด แต่งตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่ไม่มีความรู้ในการบริหาร จนทำให้ประเทศมี 3 หนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ หนี้สาธารณะ คาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 9 ล้านล้านบาท และเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์ จะกู้เงินอีก 1 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่าพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ก่อหนี้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย และไม่มีใครทำลายสถิตินี้ได้ ไม่มีแนวโน้มว่าจะใช้คืนเงินอย่างไร เหมือนปู่ใช้เงิน หลานปู่มาใช้หนี้ การกู้เงินจำนวนมากจะกระทบกับการพัฒนาประเทศของคนรุ่นต่อไปให้ยากขึ้นเป็นเท่าตัว มรดกของคนรุ่นต่อไปคือหนี้สินก้อนโตที่เกิดขึ้นในยุคนี้ รวมทั้งหนี้ภาคประชาชน และหนี้ภาคธนาคารจะน่ากังวลมากขึ้นเนื่องจากมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น ประเทศอาจถึงจุดทางตันทางเศรษฐกิจ

นายจุลพันธ์ กล่าวว่า แม้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจพรรคร่วมฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยได้เปิดข้อมูลความล้มเหลวในการบริหารหลายด้าน แต่การตอบคำถามของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกลับออกมาปัดความรับผิดชอบและยังยืนยันว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศยังดีอยู่ ซึ่ง ถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะการแก้ไขปัญหาหากจะสำเร็จได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการยอมรับปัญหา เมื่อรัฐบาลไม่เห็นว่ามันเกิดปัญหา จึงไม่แสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหา ฝ่ายค้านได้พยายามทำหน้าที่ของผู้แทนประชาชนด้วยการต่อสู้ตามระบบสภาและร่วมกันอภิปรายอย่างมีความหวัง แต่น่าเสียดายที่สู้ไม่ไหว

นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ตอกย้ำความล้มเหลวในการบริหารสถานการณ์โควิด-19 ของพลเอกประยุทธ์ ที่สร้างความล้มเหลว ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคม จนไม่เห็นทางจะฟื้นฟูได้ และฝ่ายรัฐบาลยังมี 4 พฤติกรรม ที่ตอบคำถามไม่ชัดเจน ได้แก่ 1.ตอบก่อนถาม 2.ตอบแบบไร้ภูมิปัญญา 3.ตอบไม่ตรงคำถาม 4.ไม่ตอบเลย

ทั้งนี้ ฝ่ายค้านได้เปิดแผลและรวบรวมเป็นหลักฐานพร้อมยื่นต่อ ป.ป.ช. ซึ่งการกระทำของรัฐบาลจะเป็นข้อมูลชั้นดีให้ประชาชนตัดสินใจในการเลือกตั้งครั้งหน้า แม้ครั้งนี้พลเอกประยุทธ์ จะมีมือในสภา แต่เลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่สามารถฝ่าด่านศรัทธาประชาชนได้

Related Posts

Send this to a friend