‘เอกนัฏ‘ เสนอญัตติด่วน ถกเพิ่มการดูแลถวายอารักขาขบวนเสด็จฯ
ย้ำ เป็นการกระทำกระทบจิตใจคนไทย จี้เร่งบังคับใช้กฎหมาย-ทบทวนแผนปฏิบัติ-เพิ่มการประชาสัมพันธ์
วันนี้ (14 ก.พ. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เสนอญัติด่วนเพื่อให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการ กลับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมาย ทบทวนระเบียบแผน การถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จมีการฝึกซ้อมและประชาสัมพันธ์ถึงประชาชนเพื่อรับรองความปลอดภัยให้สมเกียรติยศเพื่อรักษาไว้ซึ่งสถาบันหลักของชาติ
นายเอกนัฏ อภิปรายระบุว่า เหตุผลที่ตนตัดสินใจเสนอญัตติด่วน สืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ที่ได้มีการเผยแพร่ในสื่อ มีเหตุการณ์ไปรบกวน ก่อกวนขบวนเสด็จฯ สร้างความสะเทือนใจต่อพี่น้องประชาชนคนไทย และตนเห็นว่ากรณีนี้หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างเร่งด่วนจะทำให้สถานการณ์บานปลาย กระทบต่อความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดี โดยเฉพาะความมั่นคงของประเทศ จึงตัดสินใจอาศัยข้อบังคับข้อที่ 50 เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา
นายเอกนัฏ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ตนเชื่อว่าทุกท่านได้รับทราบข่าวสารอย่างกว้างขวางว่ามีการไปรบกวนขบวนเสด็จฯ ในขณะที่ขบวนเสด็จฯ กำลังเดินทางไปปฏิบัติพระราชกรณียกิจของพระบรมวงศานุวงศ์
หลังเกิดเหตุมีคนส่งข้อความ และตนก็ติดตามผ่านสื่อมวลชน สิ่งแรกที่เห็นคือคลิปที่ได้เผยแพร่ ทำให้รู้สึกตกใจเพราะสิ่งที่ปรากฏในคลิปชัดเจนว่า ขบวนเสด็จฯที่กำลังใช้ช่องทางสัญจรเป็นขบวนที่สั้นมาก เห็นชัดว่าการถวายความปลอดภัยในวันนั้นดำเนินการด้วยความระมัดระวังไม่ให้กระทบต่อการสัญจรของประชาชน นอกจากขบวนสั้นแล้วไม่ปรากฏว่ามีลักษณะไปปิดถนนหรือปิดกั้นการสัญจรของประชาชนบนถนนเส้นนั้นเลย มีแต่ไปกั้นเป็นจังหวะ เป็นช่วง เป็นตอน เพื่อให้การจราจรสามารถเป็นไปตามปกติ
แต่ปรากฏว่ามีรถคันหนึ่งของผู้ก่อเหตุวิ่งมาด้วยความเร็ว เจตนาชัดเจนเมื่อขบวนเสด็จฯ ผ่านไปแล้วพยายามวิ่งไล่ขบวนเสด็จฯ ในที่สุดรถที่ปิดท้ายต้องมากันรถของผู้ก่อเหตุออกไป จากนั้นปรากฏเป็นอีกคลิปหนึ่ง ทำให้เห็นว่าเจตนาของผู้ก่อเหตุในวันนั้นคืออะไร
นายเอกนัฏ เผยว่า หลังจากที่ตนได้เห็นคลิป ตนเชื่อว่าความรู้สึกของตนเหมือนกับความรู้สึกของสมาชิกผู้แทนราษฎรหลายท่านในห้องนี้ และแชร์ความรู้สึกเดียวกันกับประชาชนในประเทศไทย ตนรู้สึกโกรธ และโกรธมาก ว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าในขณะที่ตนโกรธจนเกือบถึงขีดสุดจนถึงเป็นความรังเกียจ มีประโยคหนึ่งแว่วเข้ามา ทำให้ลดโทสะลงมา คือพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงตรัสไว้ว่า “Thailand is the land of compromise” ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความประนีประนอม
วันนั้นถ้าเพื่อนสมาชิกจำได้ สื่อมวลชนต่างประเทศ CNN ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำเนินพบพี่น้องประชาชน ได้ยื่นใหม่จ่อพระโอษฐ์ท่าน และท่านก็ตรัสตอบชัดเจนว่า “Thailand is the land of compromise, We love them all the same.” ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความประนีประนอม หลังจากเหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้น มีการไปรบกวนขบวนเสด็จฯ เมื่อปลายปี 2563 และมีสื่อมวลชนไปถามถึงกรณีการประท้วงให้มีการปฏิรูปสถาบัน ท่านมีพระราชดำรัสไว้ชัดเจน ทำให้ตนดึงสติลดลงมาจากความโกรธที่จะไปถึงความรังเกียจพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ทำให้เราสงบสติอารมณ์ได้
นายเอกนัฏ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุมีข่าวถูกเผยแพร่หลากหลาย ตนรู้สึกกังวลใจและรออยู่ว่าเหตุที่เกิดวันที่ 4 เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจะออกมาดำเนินการอย่างไรบ้าง จะบังคับใช้กฎหมายอย่างไรบ้าง แต่ปรากฏว่าเหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 4 แต่ตนต้องรอเกือบจะหนึ่งสัปดาห์ ต้องบอกว่าการแสดงท่าทีไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผู้ก่อเหตุยังเหิมเกริมไปทำโพลล์ที่บีทีเอสสยาม จนเกิดเหตุปะทะกันของประชาชนที่ไม่พอใจกับผู้ก่อเหตุ
นายเอกนัฐ ย้ำว่าเหตุผลที่ตนนำเรื่องนี้มาเสนอไม่ได้ตอกย้ำซ้ำเติมความร้าวฉานในความรู้สึกของทั้งสองฝั่ง แต่มีความตั้งใจจริงว่ากรณีที่เกิดขึ้นมันไม่ควรเกิดขึ้นอีก และถ้าเราปล่อยปละละเลย ในที่สุดก็เกิดสถานการณ์ที่เราเห็นเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่มีการปะทะกันระหว่างประชาชน หากเราไม่รีบบริหารจัดการ อาจจะบานปลายไปสู่ความแตกแยก ความรุนแรงที่อาจปะทุถึงขั้นระดับประเทศเลยก็ว่าได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ปรึกษากับสมาชิกและรัฐบาลเพื่อมาเสนอญัตติด่วนไปยังรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งดำเนินการยับยั้งเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย
นายเอกนัฏ จึงขอเสนอดังนี้ 1. ขอให้เจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายโดยทันที เพราะเรื่องนี้ที่ออกมาเรียกร้องไม่ใช่เป็นการล่าแม่มดหรือต้องการประหัตประหาร หรือนำผู้ซึ่งกระทำความผิดมาใช้ศาลเตี้ยในการตัดสินใจวินิจฉัย แต่เพื่อความสงบเรียบร้อยและไม่ให้สถานการณ์บานปลาย เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีอะไรอยู่เหนือกฎหมาย การใช้สิทธิเสรีภาพมีกรอบชัดเจนว่าต้องไม่ไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของคนอื่น และต้องไม่กระทำการผิดกฎหมายตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
2.ตนเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะใช้พื้นที่ในสภามาสะท้อนความคิดความรู้สึกด้วยเหตุผลอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้มีข้อสรุปเกี่ยวกับการทบทวนระเบียบมาตรการและแผนการอารักขาถวายความปลอดภัยแก่ขบวนเสด็จ ซึ่งตนมองว่ากฎหมาย พรบ.ป้องกันถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จ ก็มีความทันสมัย มีความชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรและใครเป็นผู้ปฏิบัติ แต่ตนมีความเห็นว่าเมื่อปลายปี 2560 ก็เคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ จนทำให้กังวลว่าหากไม่มีการทบทวนมาตรการให้เข้มงวด จะเป็นการปล่อยประละเลย จนกระทั่งการกระทำในลักษณะนี้จะเป็นค่านิยมใหม่ที่เกิดขึ้น พร้อมแสดงความเป็นห่วงไม่อยากให้บานปลาย เปรียบกับกรณีเจ้าหญิงไดอาน่า ที่สหราชอาณาจักร ถูกรถของสื่อมวลชนเบียดจนทำให้เกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต
นายเอกนัฏฐ์ ย้ำว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด อย่ากังวลว่าจะเป็นแรงกดดันทางการเมือง เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ความล่าช้าในครั้งนี้ ทำให้ผู้ก่อเหตุเกิดความเหิมเกริมทำกิจกรรมทำโพลล์ในที่สาธารณะในเวลาต่อมา เห็นได้ชัดว่าการดำเนินการล่าช้าเกินไป
นายเอกนัฏฐ์ กล่าวว่า กฎหมายในระดับ พรบ.ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลถวายอารักขาขบวนเสด็จตอนนี้มีการเขียนระบุไว้ชัดเจน แต่สิ่งที่ที่ตนกังวลคือระเบียบและแผนในการปฏิบัติ เพราะพบว่าระเบียบและแผนในการปฏิบัติเป็นระเบียบและแผนที่ใช้ตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งเป็นการบังคับใช้มานานแล้ว ในตอนนี้บริบทสังคมมันเปลี่ยนไปเยอะมาก โดยเฉพาะภัยคุกคามกับขบวนเสด็จ ความพยายามก่อกวนหรือก่อเหตุให้เกิดเหตุอันตรายมีความเปลี่ยนแปลงไป จึงจะต้องมีการปรับปรุงระเบียบและแผนในการปฏิบัติให้มีความกระชับชัดเจน มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน เพราะเรื่องการถวายพระเกียรติเป็นเรื่องสำคัญมากที่ต้องไร้รอยต่อ และต้องมีการอัพเดทตามสถานการณ์อย่างเหมาะสมเข้มงวดรัดกุม
นอกจากนั้นจะต้องมีการฝึกซ้อมเจ้าหน้าที่ให้มีความพร้อม เพราะจากที่ตนได้เห็นคลิปการสนทนาระหว่างผู้ก่อเหตุและเจ้าหน้าที่ เห็นถึงความลักลั่น เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีต่างประเทศ เมื่อเข้าสู่เหตุเจ้าหน้าที่จะรู้ทันทีว่าจะต้องถือกฎหมายฉบับไหน อะไรทำได้หรือไม่ได้ ในส่วนของเจ้าหน้าที่และผู้ก่อเหตุด้วย เพราะการใช้สิทธิส่วนบุคคลมันมีขอบเขต จะต้องชัดเจนว่าสามารถทำได้ถึงขนาดไหน ที่ไม่ก่อเหตุความวุ่นวายรบกวนขบวนเสด็จฯ หรือละเมิดสิทธิความเป็นอยู่ของประชาชนคนอื่น เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องมีการฝึกซ้อมและมีคู่มือการปฏิบัติอย่างชัดเจน ต้องรู้ว่าเมื่อเข้าสู่เหตุจะต้องพูดอะไรต่อผู้ก่อเหตุ เป็นจุดสำคัญที่จะต้องเริ่มดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้ก่อเหตุแล้ว
และข้อเสนอข้อสุดท้าย คือเรื่องการประชาสัมพันธ์ ที่ต้องสื่อสารกับประชาชน เพราะในภารกิจถวายความปลอดภัยไม่มีที่ไหนในโลกที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนเลย และมาตรการที่ออกมาเป็นพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตา พยายามให้การปฎิบัติพระราชกรณียกิจให้รบกวนการสัญจรของประชาชนน้อยที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องประชาสัมพันธ์สื่อสารกับประชาชน ว่าการถวายความปลอดภัยต่อขบวนเสด็จฯ สามารถทำอะไรบ้าง จะมีผลกระทบอย่างไรบ้าง และที่สำคัญที่สุดประชาชนจะต้องทำตัวอย่างไร ซึ่งตนเชื่อว่ามีประชาชนหลายคนต้องการให้ความร่วมมือ และร่วมเป็นหูเป็นตา ไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก และการประชาสัมพันธ์ที่ชัดเจนไม่ได้ถือเป็นการถวายพระเกียรติเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการดูแลความปลอดภัยของสาธารณะด้วย