POLITICS

‘ศิริกัญญา‘ ขอปรับงบลงอีก 5 หมื่นล้านบาท เหตุต้องเก็บไว้ใช้รับมือสงครามการค้า

‘ศิริกัญญา‘ อภิปรายขอปรับงบภาพรวมลดลงอีก 50,000 ล้านบาท เหตุต้องเก็บกระสุนไว้ยามจำเป็น ชี้ สงครามการค้า ทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยง ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ

วันนี้ (13 ส.ค. 68) การประชุมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 ในวาระ 2 และวาระ 3 นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายว่า ในฐานะกรรมาธิการ อภิปรายสงวนความเห็น ในมาตรา 4 ภาพรวมว่า ขอให้มีการปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท เหลือ 3,730,600 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติที่เราอยากตัดลดงบประมาณเพิ่ม ในยามที่ประเทศอาจจะกำลังเผชิญกับวิกฤตคู่ ทั้งด้านเศรษฐกิจ และการประทะตามแนวชายแดน และหวังว่าวิกฤตนี้จะจบในเร็ววัน ไม่ยืดเยื้อไปถึงงบสมัยหน้า การขอปรับงบในครั้งนี้ เพื่อให้เก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น โดยตลอดการอภิปราย คงได้ฟังว่ามีการจัดงบประมาณใดบ้างที่ซ้ำซ้อน ไม่จำเป็น แพง และงบใดที่มีการต้องตัดลดรีดไขมันออกชะลอหรือเลื่อนออกไปก่อนต้องจัดลำดับความสำคัญกันใหม่

จากวิกฤตที่จะเกิดกับสงครามการค้าที่จะมาถึง ที่จะทำให้การคลังของประเทศตกอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยงทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ

นางสาวศิริกัญญา ยกตัวอย่างข้อมูลจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมว่า แนวโน้มเศรษฐกิจในปี 2568 ถึง 2569 ที่มีการคาดการณ์ว่าจีดีพี จะโตอยู่ที่ 2.8% แต่ล่าสุดในปลายปี 2569 เหลือเพียงแค่ 1.6% ซึ่งแม้เราจะทราบอัตราภาษีแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าตัวเลขจะดีขึ้น เพราะหลายวิจัยปรับเพิ่มจีดีพีปี 2568 จริง แต่ไม่มีวิจัยฉบับไหนที่ปรับเพิ่มจีดีพีในปี 2569

ส่วนการประมาณการรายได้ ปี 69 ถ้าจีดีพีปรับลดลง การจัดเก็บรายได้ก็ลดลงด้วย จากการประมาณการของสถิติการคลัง จากนั้น ถ้าจีดีพีลดลง 1.7% จะทำให้รายได้ลดลง 1.45% แต่เศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้น เรื่องสงครามการค้าจะส่งผลต่อทุกประเทศทั่วโลก รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับลดลงก็จะส่งผลด้วย ซึ่งจะทำให้เราจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าน้ำมันลดลง 0.7% แค่ 2 ปัจจัยนี้จะทำให้รัฐจัดเก็บรายได้พลาดเป้าอาจจะเกือบ 64,000 ล้านบาท นี่เป็นเรื่องใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นในปี 2569 มาจากความผันผวนทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้า

เรามีปัญหาการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐบาลมาต่อเนื่องอย่างยาวนาน เราจะจัดเก็บภาษีได้ 15% ของจีดีพี ซึ่งต่ำกว่าหลายประเทศที่เป็นประเทศในกลุ่มเดียวกันกับเรา ปี 2567 รายได้ภาษีตกเป้าเกือบ 80,000 ล้านบาท แต่ท้ายที่สุดก็มี ปตท. วายุภักษ์ และกองสลากฯ ให้ปันผลได้เพิ่ม จะสังเกตได้ว่ารายได้จากรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้น 25.4% ถือเป็นเดอะแบกที่ทำให้เราสามารถปิดหีบปี 2567

เช่นเดียวกับในปี 2568 ใน 9 เดือนแรกรายได้ภาษีตกเป้าไป 6.8 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะมีการมีแผนปฏิรูปโครงสร้างภาษี ที่จะประกาศช่วงเดือนกันยายน ซึ่งขณะนี้ยังไม่เห็น ตนเองก็อยากทราบจากประธานกรรมาธิการเหมือนกัน ว่าจะมีแนวทางอย่างไร เพราะปัญหาเดิม ๆ ทั้งการจัดเก็บภาษีรถยนต์ที่มีแนวโน้มลดลงจากการที่คนใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือการจัดเก็บภาษียาสูบ ที่ใช้อัตราใหม่ และไม่สามารถเก็บได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญด้านรายได้ที่เราต้องเจอในปี 2569

ความเสี่ยงด้านรายจ่าย ปี 69 จะต้องมีงบเพื่อฟื้นฟู พยุง และกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ได้มีการเตรียมการไว้งบกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังคงอยู่ที่ 25,000 ล้านบาทเท่าเดิม ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือแปรเพิ่มเข้ามาในส่วนนี้ ทั้งที่ในปี 68 ที่ไม่มีวิกฤตดีกว่าเกือบ 200,000 ล้านบาท กองทุน FTA ช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ไม่ได้มีการปรับงบแต่อย่างใด และกองทุนส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้งบประมาณเพิ่มขึ้น 5 ล้านบาท ซึ่งแทบจะทำไม่ได้ในช่วงที่เกิดวิกฤต ถือเป็นความเสี่ยงด้านรายจ่ายที่จะทำให้เรากดดันให้เราไม่มีงบประมาณเหลือจ่ายไปใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

ส่วนความเสี่ยงด้านหนี้สาธารณะ ขณะนี้กำลังจะชนเพดานอยู่แล้ว พื้นที่ทางการคลังของเราเหลือไม่มากแล้ว ปัจจุบันเหลือแค่ 64% ที่เราคิดว่าน่าจะพอไหว แต่สิ้นปีงบ 68 จะเหลือที่ 66% ส่วน ปี 69 ถ้ากู้ตามที่วางแผนไว้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะขึ้นไปถึง 69% อันเนื่องมาจากว่าจีดีพีของเราที่กำลังถดถอยลงเรื่อย ๆ ทำให้สัดส่วนที่สาธารณะต่อจีดีพีกำลังจะชนเพดานในปี 2569 จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องปรับงบประมาณในส่วนนี้ เพื่อไปเป็นส่วนสมทบในส่วนหน้า และต้องมีการขยายเพดานหนี้สาธารณะให้เกิน 70% ของจีดีพี และอาจจะต้องมีการออก พ.ร.บ. หรือ พ.ร.ก. เงินกู้เพื่อมาพยุงเศรษฐกิจในปี 2569 เพราะถ้าดูจากยอดปรับลดของ ปี 69 ในการเกลี่ยงบประมาณใหม่ ไม่ได้เป็นไปตามนั้นเลย ตลอดการพิจารณาที่ผ่านมาปรับงบลดไปได้เพียง 8,900 ล้านบาท และถูกนำไปให้กับงบประมาณที่ควรจะขอมาตั้งแต่เริ่ม ไม่ว่าจะเป็นการใช้หนี้ให้กับรถไฟฟ้าสายสีส้ม การจัดประชุม World Bank IMF เงินประกันสังคม ซึ่งเป็นเงินที่ควรเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้ว

“ซึ่งงบ ปี 69 ดูไม่รู้สึกรู้สาเหตุเลยว่ามีวิกฤตรออยู่ ต่างจากช่วงวิกฤต โควิด-19 ที่งบเคยไปถึงกว่า 30,000 ล้านบาท ดิฉันไม่อยากปรับลดงบประมาณในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่เราจำเป็นที่จะต้องเก็บกระสุน ถ้าการจัดงบประมาณในครั้งนี้ ไม่ได้ตอบโจทย์เพื่อช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากสงครามการค้าได้ เราต้องปรับลดงบประมาณในครั้งนี้ เพื่อเก็บพื้นที่ทางการคลังเอาไว้ใช้เมื่อเกิดวิกฤตจริง“ นางสาวศิริกัญญา กล่าวทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend