‘ส.ว.สมชาย’ เผยกังวลปมแก้ 112 ห่วงเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
‘ส.ว.สมชาย’ เผย ส.ว. เคารพเสียงประชาชน แต่กังวลปมแก้ 112 อย่างมาก ห่วงเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง ไม่กังวลแรงกดดันจากสังคม
วันนี้ (13 ก.ค. 66) นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นชี้แจงถึงการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีปิดท้ายการอภิปรายของสมาชิกวุฒิสภา ว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาประชาชนได้ทำหน้าที่เลือกผู้แทนแล้ว และผู้แทนฯ หรือ ส.ส.ก็จะมารวมเสียงในสภาจัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่การเลือกตั้งผู้นำโดยตรงแบบระบบประธานาธิบดี จึงขอให้หยุดการนำเสียงประชาชน 14 ล้านคน มาอ้างว่าจะต้องเลือกฝั่งตนเองเท่านั้นถึงจะถูกต้อง
นายสมชาย ยืนยันว่า ส.ว.ไม่กดดัน และสบายใจที่จะหน้าที่โดยไม่กังวลต่อแรงกดดัน เพราะ ส.ว.ทุกคนก็มีความรักชาติ และเคารพเสียงประชาชนที่ออกเสียงเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเห็นด้วยกับพรรคก้าวไกล หรือพรรคการเมืองอื่น ๆ หรือไม่ พร้อมยอมรับว่า มีความกังวลต่อนโยบายของพรรคก้าวไกล ที่กระทบต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนอาจทำให้ประเทศเกิดความไม่สงบสุข โดยเฉพาะการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ยกเลิกความผิดฐานหมิ่นประมาท หรือแสดงความอาฆาตมาตร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และยังเปิดโอกาสให้ติชมได้โดยสุจริต หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง ไม่ถือเป็นความผิด และไม่ต้องรับโทษ ยังสามารถยอมความได้
นอกจากนั้น นายสมชาย กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญ รับคำวินิจฉัยการดำเนินนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกล เพื่อให้ยุติการดำเนินการดังกล่าวแล้ว ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว อาจนำไปสู่การยุบพรรคได้ เพราะศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยแล้วว่า การใช้สิทธิเสรีภาพ เพื่อการรณรงค์การแก้ไขมาตรา 112 เป็นการใช้เสรีภาพ ที่เซาะกร่อนสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นการบั่นทอนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งทั้ง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ก็อาจจะต้องมีส่วนรับผิดชอบ และได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้นตนจึงไม่สามารถสนับสนุนให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีได้
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงคำพูดของนายชัยธวัช ที่ได้อภิปรายว่า อย่าเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาปะทะกับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตนอยากให้ถอนคำพูดเพราะพระมหากษัตริย์ไม่ทรงอยู่ในสถานะที่จะมาปะทะกับใคร พสกนิกรทั้ง 67 ล้านคนล้วนเป็นพสกนิกรของพระองค์ท่านทั้งสิ้น พร้อมตั้งคำถามว่าท่านเองหรือไม่ ที่นำมวลชนเป็นข้ออ้างในการปะทะกับสถาบันหรือไม่
ส่วนในกรณีจะลงนามในกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ทำไมประเทศไทยถึงให้ไม่ได้ โดยยกคำพูดที่นายพิธา ชี้แจงแต่ไม่ครบถ้วน ว่าเหตุที่กัมพูชาต้องเข้าร่วม ICC เป็นเพราะเรื่องเขมรแดง ส่วนประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นเพราะเหตุการณ์หนานจิงและการแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนประเทศมหาอำนาจเช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อินเดีย ต่างไม่เข้าร่วม ICC โดยระบุว่าขอให้บอกความจริงต่อประชาชนให้หมด อย่าบอกเพียงบางส่วน












