POLITICS

‘เศรษฐา’ แถลงแก้หนี้ทั้งระบบ ครอบคลุมลูกหนี้ 4 กลุ่ม 5 ล้านราย ลั่น แก้ให้จบในรัฐบาลนี้

วันนี้ (12 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงข่าวการจัดการหนี้ระบบ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

นายเศรษฐา กล่าวว่าปัญหาหนี้สิน เป็นปัญหาที่เรื้อรังมายาวนาน โดยหนี้ในระบบมีปัญหาไม่น้อยกว่าหนี้นอกระบบ ส่งผลต่อการทำงานและการประกอบอาชีพ ดังนั้นการดูแลลูกหนี้ในระบบจึงถือเป็นวาระแห่งชาติเช่นเดียวกัน รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบ ทั้งการกวาดล้างหนี้นอกระบบ และหนี้ในระบบให้ได้รับสินเชื่ออย่างเป็นธรรม

นายเศรษฐา ชี้แจงว่าไม่เคยกล่าวว่าการเป็นหนี้คือสิ่งที่ชั่วร้าย เพราะโลกนี้มีหนี้ที่ดีอยู่ เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวม แต่สภาพเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาทำให้กลไกมีข้อติดขัดหลายอย่างจนทำให้มีปัญหาสั่งสมจนใหญ่ เกินกว่าจะแก้ไขโดยปราศจากการช่วยเหลือจากภาครัฐ เราไม่สามารถปล่อยให้ลูกนี้เผชิญปัญหาอย่างลำพัง ถึงเวลาที่ภาครัฐต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาหนี้ โดยแบ่งลูกหนี้เป็น 4 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 คือผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่มีรายได้ประจำแต่มีภาระหนี้จำนวนมากจนเกินศักยภาพในการชำระคืนหนี้

กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้ชำระคืนหนี้ไม่ต่อเนื่อง

กลุ่มที่ 4 กลุ่มที่เป็นหนี้เสียคงค้าง กับสถาบันการเงินมาเป็นเวลานาน

นายเศรษฐา กล่าวต่อว่าทุกกลุ่มไม่สามารถชำระหนี้ได้จนกลายเป็นหนี้เสีย ถูกเรียกดอกเบี้ยปรับเพิ่ม และวนกลับไปจนชำระไม่ไหว วงจรเหล่านี้ส่งผลให้ติดเครดิตบูโรไม่สามารถขอสินเชื่อในระบบต่อไปได้ รัฐบาลจึงเตรียมมาตรการให้สอดคล้องกับลูกหนี้แต่ละกลุ่ม

กลุ่มแรก ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ต้องได้รับการช่วยเหลือหลุดพ้นจากการเป็นหนี้เสีย หรือพักชำระหนี้เพื่อผ่อนปรนเป็นการชั่วคราว โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสิน รัฐบาลจึงกำหนดให้ธนาคารทั้งสองแห่งติดตามทวงถามหนี้ตามสมควร และให้การช่วยเหลือกับลูกหนี้กลุ่มนี้ ซึ่งคาดว่าจะช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยได้ราว 1.1 ล้านราย ส่วนลูกหนี้ SMEs สถาบันการเงินรัฐจะช่วยเหลือผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ พักชำระหนี้ 1 ปี ปรับลดดอกเบี้ย 1% ช่วยเหลือได้ครอบคลุมร้อยละ 99% ของจำนวนผู้เป็นหนี้เสียทั้งหมด คืดเป็น 1 แสนราย

กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่มีรายได้ประจำแต่มีภาระหนี้จำนวนมากจนเกินศักยภาพในการชำระคืนหนี้ หรือกลุ่ม ข้าราชการ ตำรวจ และทหาร จะได้รับการช่วยเหลือ 3 แนวทาง ผ่านการลดดอกเบี้ยสินเชื่อไม่ให้สูงเกิน จะต้องโอนหนี้ทั้งหมดไปไว้ในที่เดียว เช่นที่สหกรณ์ เพื่อให้ตัดเงินเดือนนำมาชำระหนี้อย่างสะดวกสอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ และบังคับใช้หลักเกณฑ์การปรับเงินเดือน ให้ลูกหนี้เหลือเงินเดือนเพียงพอต่อการชำระหนี้

โดยยกตัวอย่างกลุ่มครู และบุคลากรทางการศึกษา ปัจจุบันมีครู 9 แสนราย มีภาระหนี้หนักจนกระทบต่อการทำงาน โดยกระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ครูมีเงินเหลือจ่าย อย่างน้อยร้อยละ 30 หลัลการตัดหนี้ โดยขอให้กำชับให้ระเบียบดังกล่าวบังคับใช้อย่างทั่วถึง และให้กระทรวงอื่นมีหลักเกณฑ์นี้เช่นเดียวกัน ส่วนบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเข้าคลินิกแก้หนี้ผ่าน www.debtclinicbysam.com นำเงินต้นคงค้างมาทำตารางผ่อนชำระให้ยาวถึง 10 ปี ลดดอกเบี้ยให้เหลือร้อยละ 3-5 ต่อปี

กลุ่มที่ 3 กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น เกษตรกร ลูกหนี้เช่าซื้อ และลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) จะได้รับการช่วยเหลือโดยการพักชำระหนี้เป็นการชั่วคราว ลดดอกเบี้ยหรือลดเงินผ่อนชำระในแต่ละงวดให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ของลูกหนี้ เช่น ลูกหนี้เกษตรกร ซึ่งมีรายได้ไม่แน่นอน เนื่องจากรายได้ของพวกเค้า ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและปริมาณผลผลิต เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ลูกหนี้กลุ่มนี้ รัฐบาลได้มีโครงการพักชำระหนี้ให้แก่เกษตรกรแล้ว โดยพักทั้งหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 ปี ซึ่งโครงการนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมการพักหนี้กว่า 1.5 ล้านราย เป็นต้น

กลุ่มที่ 4 กลุ่มนี้เป็นหนี้เสียคงค้างกับสถาบันการเงินของรัฐมาเป็นระยะเวลานาน กลุ่มนี้จะโอนไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ ที่เกิดจากการร่วมทุนระหว่างสถาบันการเงินของรัฐ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งจะทำให้การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้เป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น คาดว่ามาตรการนี้จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ในกลุ่มนี้ได้ประมาณ 3 ล้านราย

นายเศรษฐา ย้ำว่ารัฐบาลได้กำหนดแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้หลากหลายกลุ่ม มีทั้งมาตรการ ที่ ครม. เห็นชอบไปแล้ว เช่น การพักหนี้เกษตร มาตรการที่สามารถดำเนินการขยายผลได้ทันที เช่น เรื่องหนี้ครู หนี้ข้าราชการ หนี้บัตรเครดิต หนี้เช่าซื้อรถยนต์ หรือมอเตอร์ไซค์ ซึ่งเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยเปิดลงทะเบียนหนี้นอกระบบ หวังว่าจะมีการติดตามเจ้าหนี้และลูกหนี้ให้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยต่อไป

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุในระยะเร่งด่วน เพื่อต่อลมหายใจให้ลูกหนี้ทุกกลุ่ม ส่วนระยะยาวควรมีการแก้ปัญหาในระดับโครงสร้าง โดยยกระดับการให้บริการสินเชื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรม ซึ่งกระทรวงการคลังได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ จัดทำแนวทางเพื่อยกระดับการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อ ให้สะท้อนความเสี่ยงของลูกหนี้ได้มากขึ้น มีมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมาะสม และป้องกันปัญหาการก่อหนี้เกินศักยภาพ

ท้ายที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ให้สำเร็จและมีผลยั่งยืนหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้ร่วมกันเสริมความรู้ ยืนยันว่ารัฐบาลห่วงใยลูกหนี้ทุกกลุ่มและมีแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ ทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว การดำเนินมาตรการให้สำเร็จได้ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากลูกหนี้ เจ้าหนี้ และหน่วยงานต่าง ๆ หลายภาคส่วน ขอมอบนโยบายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนให้ร่วมกันแก้หนี้ทั้งระบบให้จบภายในรัฐบาลนี้ ร่วมกันสำรวจและซ่อมแซมกลไกทางเศรษฐกิจ เพื่อทำให้เครื่องจักรทางเศรษฐกิจเราทำงาน เติบโต และขยายตัวต่อไปได้

“รัฐบาลหวงลูกหนี้ทุกกลุ่มโดยจะร่วมมือกับหลายภาคส่วนแก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบให้จบภายในรัฐบาลนี้”

นายเศรษฐา กล่าวช่วงตอบคำถามกับสื่อมวลชนว่า การชำระค่าน้ำค่าไฟต้องนำมาประกอบกับการพิจารณามาตรการให้สินเชื่อและอัตราดอกเบี้ย ด้านนายกิตติรัตน์ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่าการแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบครอบคลุมการแก้หนี้ครัวเรือน 16 ล้านล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 90 ของ GDP ส่วนหนี้บัตรเครดิตคิดมียอดรวม 5.4 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ที่อาจมีปัญหาประมาณ 6.7 หมื่นล้านบาท โดยจากจำนวนผู้ถือบัตรเครดิต 23.8 ล้านใบ มีผู้ที่น่าห่วงอยู่ 1.1 ล้านใบ ทั้งนี้จากลูกหนี้ 4 กลุ่ม มีปัญหาอยู่ประมาณ 5 ล้านคน หรือประมาณ 12 ล้านบัญชี

Related Posts

Send this to a friend