POLITICS

‘โรม’ พ้อ กกต. รีบส่งสำนวนไม่ฟังข้อเท็จจริงจากพรรค หวั่นไม่เป็นธรรม

‘โรม’ พ้อ กกต. รีบส่งสำนวนไม่ฟังข้อเท็จจริงจากพรรค หวั่นไม่เป็นธรรม ปัดตอบเป็นผู้นำรุ่นสาม ขอโฟกัสสู้คดีก่อน เชื่อยุบพรรคไม่ส่งผลดีต่อระบบการเมือง

วันนี้ (12 มี.ค. 67) นายรังสิมันต์ โรม สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวภายหลัง กกต.มีมติเป็นเอกฉันท์ ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคก้าวไกล ฐานมีพฤติกรรมล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ว่า ความจริงแล้วโดยหลักการที่ควรจะเป็น ควรมีการรับฟังข้อเท็จจริงและควรให้พรรคก้าวไกลได้มีโอกาสโต้แย้งและอธิบายซึ่งเหตุผลก่อน แต่การที่กกตอจะรวบรัดและยื่นคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเลยโดยที่ไม่ได้รับฟังข้อคิดเห็นไม่ได้รับฟังข้อเท็จจริงจากพรรคก้าวไกลเลยแม้แต่น้อยตนคิดว่าน่าจะขัดต่อหลักนิติธรรม

ซึ่งแน่นอนหากถามว่า กกต. มีอำนาจไหม ก็เชื่อว่าคงมี แต่ประเด็นคือมันมีความจำเป็นอะไรที่จะไม่รับฟังในข้อเท็จจริงของพรรคก้าวไกล ก่อนที่ กกต. จะ ใช้กฎหมายส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญตนคิดว่ากกต. ก็สามารถเปิดโอกาสรับฟังได้ เช่นกรณีการยื่นยุบพรรคอนาคตใหม่ตอนนั้นพวกท่านก็ยังฟังเลย แต่มีความจำเป็นอะไรในตอนนี้ที่จะไม่รับฟังตนคิดว่าการไม่รับฟังเหตุผลของก้าวไกลเป็นเหตุนำไปสู่ข้อคอรหาข้อวิพากษ์วิจารณ์และความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกระบวนการขององค์กรอิสระอย่างกก. จะถูกตั้งคำถามไปเรื่อยๆ แล้วสังคมไทยจะได้อะไรขึ้นมา

“แน่นอนว่า ถึงที่สุดถ้าท่านฟังแล้ว โอเคพบว่ายังมีคำวินิจฉัยแบบเดิม แต่อย่างน้อยๆ ท่านต้องสร้างมาตรฐานตรงนี้ ต้องสร้างกระบวนการตรงนี้ เพราะถ้าท่านไม่ใช้เลย ท่านเลือกส่งไปศาลรัฐธรรมนูญเลย มันก็อาจจะไม่เป็นธรรมต่อพรรคก้าวไกล ในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกตั้งมา แล้วสุดท้ายกระบวนการทำลายพรรคก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก” นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ ยังตั้งคำถามต่อไปอีกว่า การยุบพรรคการเมือง ประเทศชาติจะได้อะไร นอกจากจะทำให้สังคมกลับไปสู่ความไม่แน่นอน แล้วพรรคการเมืองผิดอะไรถึงต้องไปยุบ ตนคิดว่าเรื่องนี้สังคมไทยควรมีบทเรียนได้แล้วว่าการยุบพรรคการเมืองมันทำให้การเมืองไม่พัฒนาก้าวไปข้างหน้า มันมีแต่จะทำให้การเมืองถอยหลังและทำให้การเป็นสถาบันของพรรคการเมืองไม่สามารถเกิดขึ้นได้

“เรื่องพยานหลักฐานท่านต้องฟัง ไม่ใช่ไปมีมติเอกฉันท์แล้วส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญเลย ผมคิดว่ามันควรจะฟังในมุมของพรรคก้าวไกล เหตุผล คำอธิบายต่างๆ ก่อนจะใช้อำนาจในการตัดสินใจ ท่านต้องรับฟังตรงนี้ให้เต็มที่ กับประเด็นที่สอง ให้คิดถึงผลภาพรวมว่า การยุบพรรคก้าวไกลไม่ได้ช่วยให้การเมืองดีไปกว่านี้” นายรังสิมันต์ กล่าวย้ำ

ผู้สื่อข่าวถามว่าในรอบ 5-6 ปีของพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล ถูกยื่นยุบพรรคมาแล้ว 2 รอบ ในเวลาไม่ห่างกันมาก ทำให้คนในพรรคเสียกำลังใจหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า เราตั้งพรรคการเมืองมาเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งปัญหาที่พวกเรารับรู้มาโดยตลอดคือมีปัญหาทางด้านการเมือง ปัญหาสังคมปัญหาเศรษฐกิจปัญหาประชาธิปไตยและอีกหลายปัญหา ในช่วงการทำแคมเปญภาคอนาคตใหม่ระหว่างทางเราก็เห็นการยุบพรรค ไทยรักษาชาติ กระบวนการครั้งนั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว แล้วเราก็พบว่ามีปัญหามาโดยตลอดแต่สิ่งหนึ่งที่เราพยายามถามตัวเองคือเราเข้ามาทำไมเราเข้ามาเพื่อสู้กับปัญหาเราเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาเราเข้ามาเพื่อทำให้ปัญหาที่มีอยู่หายไปดังนั้นการมีการยุบพรรคก้าวไกลหรือพรรคอนาคตใหม่ทำให้เห็นว่ายังมีปัญหาเหล่านี้อยู่ ปัญหานี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข

“ดังนั้นสิ่งที่เราทำต่อไป คือการกลับไปถามตัวเองในวันเดิมว่าเราเข้ามาทำไม ก็เพราะเราต้องการที่จะมาแก้ปัญหา ดังนั้นเมื่อมีการยุบอีก เราก็ต้องดำเนินการต่อจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของการแก้ปัญหาที่มีอยู่ในสังคม

เราไม่ได้มีเจตนาร้าย เราไม่ได้ต้องการที่จะไปเปลี่ยนแปลงระบอบการเมืองการปกครอง เพียงแต่เราทำในสิ่งที่เป็นอำนาจหน้าที่ของเรา สุดท้ายท่านอาจจะไม่เชื่อในเหตุผลของเราตรงนี้

แต่เรายืนยันว่าหากมองย้อนกลับไปตั้งแต่วันที่มีการยื่นแก้ 112 จนถึงวันที่มีการรณรงค์ต่างๆ จนถึงวันนี้ มันไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง มันไม่ได้นำไปสู่การล้มล้างการปกครองเลย การเมืองการปกครองของเราก็ยังดำเนินอยู่ถึงทุกวันนี้ ในทางกลับกันการยุบพรรคก้าวไกล สังคมได้อะไรขึ้นมา ผมยืนยันว่าเรายังต้องเดินหน้าฟันฝ่าต่อสู้กับปัญหาต่อไป“ นายรังสิมันต์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่านายรังสิมันต์ ไม่ได้เป็น กก.บห. พรรค มีการเตรียมตัวเป็นผู้นำรุ่นที่ 3 ของพรรคหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตอนนี้ตนพยามโฟกัสกับการไม่ไปถึงจุดนั้นก่อน เราควรมุ่งมั่นกับการทำอย่างไรให้การยุบพักไม่เกิดขึ้น เราควรเตรียมตัวต่อสู้คดีทั้งในชั้น กกต.และชั้นศาล จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหากไม่มีการเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้คดีเลย คงเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่กระบวนการของ กกต.มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เพราะการรับฟังคู่ความ หรือผู้ถูกกล่าวหาในข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงแบบนี้ เป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญ ที่จะทำให้เราได้แก้ตัวและอธิบายว่าความจริงแล้วเกิดอะไรขึ้น

ส่วนถ้ามีพรรคใหม่จะถอดบทเรียนลดโทนการเรียกร้อง เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงถูกยุบอีกหรือไม่ นายรังสิมันต์ ยืนยันว่า เราตั้งพรรคการเมืองมาเพื่อแก้ปัญหา เราต้องการให้ประชาชนมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี มีความภาคภูมิใจ มีประชาธิปไตย และมีเสรีภาพ ดังนั้นจะต้องทำเรื่องนี้อย่างดีที่สุด ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ต้องดูในหลายปัจจัย ส่วนคำถามที่ว่าจะลดโทนหรือไม่ลดโทน ตนย้ำว่า ขอให้ความสำคัญกับตอนนี้ก่อนว่าจะทำอย่างไรให้พรรคก้าวไกลยังสามารถเดินหน้าได้ ให้ความสำคัญกับเรื่องคดี และเรื่องการทำงาน

“เรายืนยันกับประชาชนว่า เราจะยังทำหน้าที่ต่อไปอย่างดีที่สุด และยังเชื่อว่าพรรคการเมืองแบบพรรคก้าวไกล เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ใช่แค่พรรคการเมือง แต่คือความคิด อุดมการณ์ และความรู้สึกของเราที่ร้อยเรียงต่อกันว่าเราอยากเห็นประเทศไทยดีขึ้น และความคิดนี้จะไม่มีวันสูญสลาย“ นายรังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้าย

Related Posts

Send this to a friend