ส.ว.สมชาย ชี้ กกต. ควรเร่งส่งศาลรัฐธรรมนูญเคาะคุณสมบัติ ‘พิธา’
ส.ว.สมชาย เชื่อ ส.ว.ใช้ดุลยพินิจโหวตนายกฯ ส่วนการงดออกเสียงคือไม่เห็นด้วย หรือรอดูความชัดเจน ชี้ กกต. ควรเร่งส่งศาลรัฐธรรมนูญเคาะคุณสมบัติ ‘พิธา’
วันนี้ (11 ก.ค. 66) ที่อาคารรัฐสภา นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค
นายสมชาย ระบุว่าที่มีข้อสงสัยว่าเรื่องการถือหุ้นสื่อ ตามมาตรา 98 (3) ไปกระทบต่อคุณสมบัติของการเป็น ส.ส. และแคนดิเดตการเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 88, 89 ซึ่งหากนายพิธา ได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นมาก็จะขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 ดังนั้นสิ่งที่ถูกต้องคือ กกต.จะต้องส่งศาลพิจารณาโดยเร็ว
ส่วนเรื่องเสียงการลงมติของ ส.ว. นั้น นายสมชาย ระบุว่า ขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละท่านว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ส.ส.เป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี และ ส.ว. มีหน้าที่ให้ความเห็นชอบ การให้ความเห็นชอบ ส.ว. จึงควรเทียบเคียงกับหลักเดิมเช่นการสรรหาองค์กรอิสระ ซึ่งจะต้องฟังข้อมูลก่อน เช่น การแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครซึ่งขณะนี้ไม่ทราบว่าจะมีกี่คน ซึ่งอาจจะมีเพียง นายพิธา คนเดียว หรือข้อมูลจาก กกต. ที่ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา และการตัดสินใจให้เป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละท่าน เชื่อว่าทุกท่านมีวุฒิภาวะในการเลือกนายกรัฐมนตรี นโยบายในการเข้าไปทำหน้าที่ดูแลประชาชนทั้ง 77 ล้านคน เชื่อว่า ส.ว. ใช้ดุลยพินิจได้อย่างดี ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร ให้รอดูวันที่ 13 ก.ค.นี้
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องที่ ส.ว. จะร่วมกันงดออกเสียงในการโหวตเลือกนายกฯ นั้น นายสมชาย ระบุว่า การงดออกเสียงในที่นี้มีอยู่ 2 กรณีคือ งดออกเสียงเพื่อยังไม่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีขณะนี้ เพื่อรอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นที่สุดก่อน และการงดออกเสียงอีกหนึ่งกรณีคือ ไม่เห็นด้วยให้ นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี
ส่วนกระแสข่าวที่ว่า ส.ว. กว่า 90% จะงดออกเสียงให้นายพิธานั้น นายสมชาย กล่าวว่า ตนเองไม่ทราบในเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าใครประเมิน และทุกครั้งที่ทราบข่าวการประเมินก็เห็นว่า ส.ว. จะโหวตให้นายพิธา ส.ว. ใช้ดุลยพินิจ และความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง รับผิดชอบต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
“ส.ว. ต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ ว่าถ้าเราเลือกไปแล้ว ไปทำหน้าที่พาประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองไม่มีปัญหาใดเราก็เห็นด้วย แต่ถ้าเลือกไปแล้วมีปัญหาที่พาประเทศไปสู่วิกฤต หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่งพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ส.ว. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะโหวตอย่างไรจะเป็นการจารึกในประวัติศาสตร์ว่าท่านเป็นผู้ทำให้เกิดเรื่องนี้ ดังนั้น ส.ว. จึงต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ เนื่องจากเวลาการขานชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีต้องขานเป็นสาธารณะว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ” นายสมชาย กล่าว
สำหรับกรณีที่มี ส.ว. สายทหารเดินหน้าล็อบบี้หาคะแนนเสียงให้นายพิธานั้น นายสมชาย ระบุว่า ตนเองไม่ทราบในเรื่องนี้ และหากโหวตเลือกนายพิธาเป็นนายกฯ รอบแรกไม่ผ่านจะต้องมีรอบที่สองหรือไม่ เรื่องนี้รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดไว้ ซึ่งจะใช้ประเพณีในการปกครองแบบใด ส.ว. ก็ยอมรับว่ามีความกังวลเพราะทราบข่าวว่าจะขอโหวตไปเรื่อย ๆ ในเรื่องนี้สมควรจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าจะมีการเสนอรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ ชื่ออื่น ทาง ส.ว. จะโหวตให้หรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า ในเรื่องนี้ ส.ว. ไม่เกี่ยว และจะไม่ยุ่งกับขั้วใดขั้วหนึ่ง ให้เป็นเรื่องของพรรคการเมืองไปตกลงกันเอง ส.ว. จะไม่เข้าไปยุ่งในเรื่องนั้น
“เมื่อพิจารณาองค์ประกอบแล้วประเทศชาติเจริญก้าวหน้าไปได้ มีความมั่นคงปลอดภัย ไม่นำประเทศไปสู่วิกฤตอันตราย ความสุ่มเสี่ยงใดๆ ส.ว. ก็ให้ความเห็นชอบ แต่เมื่อสุ่มเสี่ยงต้องถามในสภา” นายสมชาย กล่าว
ทั้งนี้ นายสมชาย ยังกล่าวอีกว่า ยังมีหลายประเด็นที่ยังไม่ค่อยสบายใจ เช่น การแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หากนายพิธา ยืนยันว่าจะไม่แก้ไข และจะเดินหน้าตั้งคณะกรรมการศึกษาไว้ก่อน ก็ขอถามกลับว่าพรรคก้าวไกลทั้ง 150 คน ที่เหลือคิดแบบเดียวกันหรือไม่ ซึ่งรวมถึงเครือข่ายองค์กรอื่นที่เกี่ยวข้องยังคิดแบบเดียวกันหรือไม่ เช่น การร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่โดย กระทบหมวด 1 และ 2 กระทบต่อพระราชอำนาจ หรือองค์กรอิสระทั้งหมดที่พรรคก้าวไกลเคยมีแนวนโยบายออกมาว่าจะยุบองค์กรอิสระตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญลงไป