‘ทักษิณ‘ ยังยิ้มได้ หลังศาลฎีกาฯ สั่งบังคับโทษจำคุก 1 ปีคดีชั้น 14
‘ทักษิณ‘ ยังยิ้มได้ หลังศาลฎีกาฯ สั่งบังคับโทษจำคุก 1 ปีคดีชั้น 14 คุมตัวเข้าเรือนจำทันที อ้างป่วยฉุกเฉิน ปฏิเสธผ่าตัด มีส่วนรู้เห็นขอรักษาตัว รพ.ตำรวจจนพ้นโทษ
วันนี้ (9 ก.ย. 68) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค.1/2568 กรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงการบังคับโทษคดีถึงที่สุดนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยศาล มีคำพิพากษาว่าการบังคับโทษเป็นไปตามกฎหมาย การพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่อาจเอาเวลามาพักโทษได้ จึงต้องบังคับโทษจำคุกจำเลยอีก 1 ปี ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการลดโทษ
นายทักษิณ พร้อมครอบครัวนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายปิฎก สุขสวัสดิ์ นางสาวพินทองทา คุณากรวงศ์ ชินวัตร พร้อมด้วยสามี เดินทางเข้าไปภายในห้องพิจารณาคดีในเวลา 09.29 น.ด้วยสีหน้าเรียบเฉย โดยก่อนการพิจารณาคดี นายทักษิณได้หันมาทักทายกับสื่อมวลชนบอกว่า “สบายมาก” และทักทายกับนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพคนปัจจุบันด้วย
องค์ค์คณะผู้พิพากษาออกนั่งบัลลังก์ในเวลา 09.59 น. ศาลอ่านคำสั่งระบุว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่าศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลยหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดย่อมมีอำนาจในการไต่สวนและตรวจสอบว่า การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำและอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือไม่ และเป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 89 หรือไม่
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประจำต่อไปว่าการไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนการพิจารณาซ้ำกับคำสั่งของศาลที่ยกคำร้อง เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.66 และวันที่ 15 ก.พ.67 หรือไม่ ตามที่นายชาญชัยยื่นคำร้องมาก่อนหน้านี้ทั้งสองฉบับ กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามกฎหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล ซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคำร้องของนายชัญชัยการดำเนินกระบวนพิจารณาต่ศาล ในชั้นนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนกระบวนการพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้องทั้งสองฉบับ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าการบังคับโทษของจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่ โดยหลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้รับตัวจำเลยไว้ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด นำตัวจำเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรคแดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มีแพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตรวจร่างกายจำเลยขณะรับตัวและสรุปประวัติการรักษาของจำเลยจากเวชระเบียนของต่างประเทศรวม 10 โรค ศาลฟังได้ว่าจำเลยมีโรคประจำตัวที่สามารถกินยาต่อเนื่องได้ และมีเพียง 3 โรคที่แพทย์ประจำทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์เห็นควรว่าจะต้องมีการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท โรคหัวใจ และไวรัสตับอักเสบบี แต่เนื่องจากโรงพยาบาลทัณฑสถานไม่มีคลินิกโรคตับ จึงจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกเรือนจำที่มีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพยาบาลเวรว่าในคืนวันที่ 22 ส.ค.66 เวลา 22.00 น. จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอกและมีความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตวัดได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92% อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส พยาบาลเวรจึงทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไปยังโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจำเลยไปที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ฃที่ห่างออกไป 200 เมตร
การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบฉุกเฉิน เนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึงโรงพยาบาลตำรวจได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ ขัดกับระเบียบของโรงพยาบาลตำรวจว่าด้วยการตรวจผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหาเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาล พ.ศ.2557
ทั้งนี้จากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษาพบว่าในวันที่ 23 ส.ค.66 มีการส่งตัวจำเลยที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่กลับไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการดังกล่าว และเพิ่งจะมีผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจมาตรวจจำเลย ในวันที่ 24 ส.ค.66 หรือหลังจาก 24 ชั่วโมงไปแล้ว
นอกจากนี้นายแพทย์วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ในขณะนั้น และนายแพทย์พงศ์ภัค ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจสรุปได้ว่า ที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้า มียาขยายหลอดลม และยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามด้วยระเบียนของโรงพยาบาลในวันที่ 23 ส.ค.66 แสดงให้เห็นว่าอาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ไม่ต้องส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำ
เชื่อได้ว่าคืนวันที่ 22 ส.ค.66 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอกเพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ สำหรับการรักษาจำเลยที่โรงพยาบาลตำรวจตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.66จนถึงวันที่จำเลยออกจากโรงพยาบาล วันที่ 18 ก.พ.68 แพทย์โรงพยาบาลตำรวจออกใบแสดงความเห็นแพทย์เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและผู้บัญชาการเรือนจำลงวันที่ 15 ก.ย.66, 18 ต.ค.66 และ 21 ธ.ค.66 เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตจำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัดต้องได้รับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองเลือดและผ่าตัดกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่ โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่โรงพยาบาลตำรวจ และการผ่าตัดกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอให้จำเลยผ่าตัดภายหลังจากจำเลยอยู่โรงพยาบาลตำรวจ แต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด แต่ในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใด จนกระทั่งจำเลยออกจากโรงพยาบาล
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าการบังคับโทษจำคุกของจำเลยชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่า ตนไม่ได้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินแต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ จำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการและเลือกรับการผ่าตัดนิ้วและเอ็นหัวไหล่ขวา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยในโรงพยาบาลตำรวจขยายระยะเวลาออกไป
จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จนได้รับการปล่อยตัวและไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่โรงพยาบาลตำรวจมาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 31 ส.ค.66 มีพระบรมราชโองการพระราชทานมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลยเหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปีตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ดังนั้นย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษและต้องได้รับโทษจำคุกพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.66 กระบวนการบังคับโทษรวมทั้งการพักการลงโทษจำเลย จึงไม่มีผลตามกฏหมายและไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจมาหักเป็นวันคุมขังได้จำเลย จึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปีตามพระบรมราชโองการ
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายหลังศาลอ่านคำสั่งศาลเสร็จสิ้น นายทักษิณ ได้หันไปพูดคุยกับนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัว ก่อนจะพูดคุยกับนางสาวแพทองธาร โดยนายทักษิณยังคงยิ้มแย้ม พร้อมกับถอดสูทและเนกไทด์ พูดคุยกับครอบครัวจากนั้นผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร คุมตัวนายทักษิณไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครทันที












