‘จุรินทร์’ เตือน รัฐบาลอย่านิ่งนอนใจ เหตุ สหรัฐฯ อาจเกิดการปรับเพิ่มภาษีอีกได้ ชี้ ต้องดูแลเรื่องผลกระทบให้ดี
วันนี้ (9 เม.ย. 68) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 30 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง ในการเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปราย ว่า ประกาศของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการลงนามคำสั่งบริหาร เพื่อกำหนดภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ และการระบุถึงการดำเนินการครั้งนี้ เพื่อกำหนดอัตราภาษีศุลกากรนำเข้าไปยังสหรัฐอเมริกาจากประเทศคู่ค้าให้เท่าเทียมกับที่ประเทศคู่ค้าเรียกเก็บจากสหรัฐอเมริกา และให้เกิดความเป็นธรรมกับสหรัฐอเมริกา รวมถึงเป็นไปเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐอเมริกา
นายจุรินทร์ ระบุว่า อาจจะมีการเพิ่มเติมมาตรการขึ้นมาได้อีก หากมาตรการที่ออกมานี้ยังไม่ได้ผล และหากประเทศคู่ค้าใดใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐอเมริกา ก็อาจมีการพิจารณาเพิ่มหรือขยายขอบเขตการจัดเก็บภาษีได้อีก แต่หากประเทศใดยอมแก้ไขและเยียวยาให้กับสหรัฐอเมริกา ก็อาจมีการพิจารณาปรับลดหรือจำกัดขอบเขตภาษีที่จัดเก็บให้ ดังนั้น หากเปรียบเทียบประกาศฉบับนี้กับแผ่นดินไหว ถ้าเกิดการตอบโต้ ก็อาจจะกลายเป็นอาฟเตอร์ช็อก และอย่าคิดว่าจะจบลงเท่านี้ อาจมีอะไรตามมาอีกก็ได้ ดังนั้น รัฐบาลต้องไม่นิ่งนอนใจ เพราะตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย
นายจุรินทร์ ชี้ว่า โดยเฉพาะข้าว ยางรถยนต์ และวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งจะกระทบต่อเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเรา และการส่งออกข้าวของประเทศไทย จะต้องมีการแข่งขันกับประเทศเวียดนาม เพราะเมื่อบวกภาษีเข้าไปแล้ว ราคาข้าวของเราจะแพงกว่าเกือบเท่าตัว ซึ่งจะนับเป็นดาบสาม ที่จะส่งผลต่อชาวนา
นายจุรินทร์ ย้ำว่า รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการให้ถูกทาง โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลประกาศอย่างแข็งขันว่า จะไม่เอามาตรการประกันรายได้เกษตรกร พร้อมตั้งคำถามว่า จะช่วยผู้ส่งออกและชาวนาอย่างไร ทั้งยังต้องเตรียมมาตรการสำหรับสินค้ายาง เนื่องจากในการซื้อขายจะต้องมีการตกลงราคากันก่อนล่วงหน้า แต่หากถึงวันที่จะมีการปรับภาษีขึ้น จะเกิดการยกเลิกสัญญาหรือไม่ รวมถึงกระแสข่าวรัฐบาลจะต่อรองด้วยการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งราคาข้าวโพดในประเทศตกต่ำอยู่แล้ว ก็ต้องดูแลเรื่องผลกระทบให้ดี
นายจุรินทร์ ยังมองว่า การประกาศกำแพงภาษีครั้งนี้ของสหรัฐอเมริกา คือการใช้อำนาจซื้อที่เหนือกว่าประเทศอื่น และการกำหนดกติกาฝ่ายเดียว ถือเป็นการท้าทายกติกาการค้าแบบพหุภาคี ที่ทั้งโลกยืนยันร่วมกันมานาน ภายใต้องค์การการค้าโลก ที่สำคัญผลจากสงครามการค้าครั้งนี้ มีนักวิชาการหลายคนออกมาแสดงความคิดเห็น ว่ามีการแบ่งโลก การเกิดขึ้นถึง 4 กลุ่ม คือ สหรัฐฯกับพันธมิตร, จีนกับพันธมิตร, สหภาพยุโรปกับพันธมิตร และประเทศที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
สุดท้าย ขอถามไปยังรัฐบาล ว่าประเทศไทยจะยืนอยู่จุดไหน และยืนอย่างไร เพื่อให้ดำรงอยู่ได้ท่ามกลางปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และภูมิเศรษฐศาสตร์ที่เข้มข้น อย่างมีอนาคต หากรัฐบาลมีคำตอบแล้ว ตนเองก็ขอให้กำลังใจ แต่ถ้ายังไม่มีคำตอบ ก็ต้องเร่งหาคำตอบ เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้นอนตาหลับ












