POLITICS

‘ปานปรีย์’ ยัน เครื่องบินเมียนมาที่ลงสนามบินแม่สอด เป็นเครื่องบินพาณิชย์ ขนเอกสารราชการ

‘ปานปรีย์’ ยัน เครื่องบินเมียนมาที่ลงจอดที่สนามบินแม่สอด เป็นเครื่องบินพาณิชย์ ชี้ เป็นการขนเอกสารราชการ ไม่มีกำลังพล – อาวุธ เผย รัฐบาลเฝ้าระวังหากรุกล้ำน่านฟ้าไทย ระบุ มีแผนรับมือหากมีผู้ลี้ภัยเข้าสู่ไทย

วันนี้ (9 เม.ย. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังเข้าหารือกับ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานด้านความมั่นคง ถึงสถานการณ์ในเมียนมา ว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะเมืองเมียวดีที่มีชายแดนติดกับ อ.แม่สอด จ.ตาก และตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้ลี้ภัยเข้ามา แต่มีชาวเมียนมาเข้ามาอย่างประปรายตามปกติ

ส่วนกรณีที่เครื่องบินเมียนมา ขอเข้ามาจอดในสนามบินแม่สอด มีการแจ้งประสายขอมาหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า เป็นการขออนุญาตเข้ามาอย่างปกติ และถูกต้อง ซึ่งเป็นการขอมาจากทางสถานเอกอัคราชทูตเมียนมาประจำไทย เพื่อขอความร่วมมือ หากมีประชาชนได้รับผลกระทบในด้านมนุษยธรรม ซึ่งมีการขออนุญาตทำการบินมา 3 ครั้ง แต่ก็ได้ยกเลิกไปแล้ว

ส่วนข้อสงสัยที่ว่าเครื่องบินพาณิชย์ขนอะไรกลับไปนั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า เป็นการขนเอกสารราชการ จากเดิมที่คาดว่าจะมีประชาชนชาวเมียนมามาด้วย อาจเป็นข้าราชการ แต่เมื่อเขาเจรจากันได้ จึงทำให้ข้าราชการไม่ได้เข้ามา แต่ทั้งนี้ ในทางการทูตไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เพราะเป็นความลับ และผ่านการตรวจสอบจากชายแดนมาแล้ว ก่อนจะเดินทางมายังท่าอากาศยานแม่สอด พร้อมย้ำว่า การขนส่งไม่มีอาวุธ ไม่มีกำลังพล ไม่มีทหาร และชาวเมียนมาที่จะเดินทางเข้ามา มีเพียงแต่เอกสารราชการที่ดำเนินการส่งกันไป และไม่มีการแจ้งว่า มีการขนเงินตามที่ระบุเป็นข่าว

นายปานปรีย์ ย้ำว่า ไม่ใช่เครื่องบินทหารของเมียนมา และกองทัพมีความพร้อม หากมีกรณีที่รัฐบาลทหารเมียนมาล่วงละเมิดน่านฟ้าไทย ยืนยันว่า จะไม่ให้มีเรื่องนี้เกิดขึ้น

นายปานปรีย์ ระบุอีกว่า ในวันนี้ที่นายกรัฐมนตรีเรียกฝ่ายความมั่นคงเข้าหารือ เพราะเป็นห่วงสถานการณ์ที่จะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทยเตรียมรองรับเรื่องนี้มานานแล้ว โดยคาดว่าจะมีจำนวนหลักแสนคนที่เข้ามาอยู่ในที่พักพิงชั่วคราว และถ้าหากมีมากกว่าหลักแสนก็สามารถดำเนินการได้ รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศได้ติดต่อต่างประเทศแล้วว่า หากมีความรุนแรง และมีผู้ลี้ภัยเข้ามา ซึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะดำเนินการได้โดยลำพัง ส่วนเรื่องการค้าชายแดนซึ่งมีความน่าเป็นห่วงนั้น ปัจจุบันการค้าชายแดนลดลงอย่างมาก มีผู้ประกอบการประมาณ 130,000 ราย และมีการค้าขายไปประมาณ 30% ซึ่งถ้าหากชายแดนถูกปิดก็จะต้องใช้ด่านอื่น เช่น ด่านที่ จ.ระนอง หรือในพื้นที่อื่น แต่ตอนนี้ยืนยันว่า ศุลกากร และตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ยังทำงานปกติ

สำหรับกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเจรจาเนื่องจากรัฐบาลทหารเมียนมา (SAC) อ่อนกำลังลงจะเป็นการเจรจาแบบทวิภาคีกับ SAC หรือกองกำลังชาติพันธุ์อื่น ๆ ด้วยนั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า การเจรจากับกลุ่มอื่น ๆ เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ครบทุกกลุ่ม แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลทหารจะควบคุมได้อยู่ แต่ก็ยังมีหลายพื้นที่ที่ต้องเจรจา ย้ำว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องทำ

สำหรับจุดยืนของประเทศไทยต่อสถานการณ์ดังกล่าว นายปานปรีย์ ระบุว่า รัฐบาลไทยเป็นกลางแน่นอน และมีความคาดหวังให้เกิดสันติสุขในเมียนมา ดังนั้น จึงต้องทำทุกวิถีทางให้เกิดความสงบสุข เพราะไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด

ส่วนจะมีการปรับบทบาทจากการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไปเป็นความสามารถในการเข้าไปควบคุมสถานการณ์ได้เหมือนชาติมหาอำนาจอย่างจีนนั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า เราคงไม่เข้าไปควบคุมรัฐบาลอื่นได้ แต่จะทำหน้าที่ประสานงานให้สันติภาพในเมียนมาเกิดขึ้น และหลังจากนี้มีแผนดำเนินการในส่วนมนุษยธรรมอยู่แล้ว

ส่วนภาคประชาชน ยังมีความกังวลว่าสถานการณ์ที่รุนแรงขึ้นอาจมีกลุ่มผู้ลี้ภัยเข้ามามากขึ้นจนอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทย นายปานปรีย์ กล่าวว่า การบริหารจัดการนั้นมีทั้งกระทรวงมหาดไทย และกองทัพบก (ทบ.) รับทราบแล้ว และยืนยันว่า ขณะนี้สถานการณ์ในแม่สอดยังสงบ แม้ว่าการค้าขายที่อาจติดขัด และไม่น่าเกิดความรุนแรงอะไร เนื่องจากแม่สอด และเมียวดีเป็นพื้นที่เศรษฐกิจโดยตรง

Related Posts

Send this to a friend

Thailand Web Stat