POLITICS

รมว.ยุติธรรม ยก พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ถือเป็นหลักประกันของนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน

รมว.ยุติธรรม เป็นประธานเปิดงาน “แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนระยะที่ 2“ ยกแผนควบ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ถือเป็นหลักประกันของนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน หวังแผนปฏิบัติการฯ เกิดผลสำเร็จ เพื่อนำประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

วันนี้ (8 ก.ย. 66) เวลา 10:00 น. ที่ห้องเดอะ พอร์ทอล บอลรูม เมืองทองธานี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนระยะที่ 2 โดยมีตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และด้านสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจ มาให้การต้อนรับ

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมกล่าวเปิดงานโดยระบุว่าตนเองมีความยินดีที่ได้รับเกียรติให้มาเป็นประธานในการเปิดแผนระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนระยะที่ 2 ซึ่งแผนปฏิบัติการได้เดินทางมาแล้ว 4 ปี นับว่าเป็นโอกาส และเป็นสิ่งท้ายทายที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของสิทธิมนุษยชน และความยุติธรรม มีความสำคัญแม้จะถูกมองว่าเป็นนามธรรม ถ้าสังคมใด หรือประเทศใด ละเลยซึ่งสิทธิมนุษยชน และความเป็นธรรม ก็จะนำซึ่งความไม่สมดุล และความขัดแย้ง ไม่ใช่แค่ความขัดแย้งของคนที่ถูกละเมิด แต่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นกับผู้นำ และผู้คนในสังคม

ความสำคัญของธุรกิจ และสิทธิมนุษยชน ที่นำไปสู่ความสมดุล ประเทศไทยเป็นประเทศที่กล้าหาญ ที่นำธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนมาเป็นแผนเฉพาะ และต้องยอมรับว่า เป็นแผนของชาติที่กำหนดเอาไว้อยู่ในรัฐธรรมนูญ โดยแผนใน 4 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นการรับรู้ ส่วนที่จะมีความสำเร็จจำเป็นต้องขับเคลื่อนต่อ ซึ่งในประเด็นที่กรมคุ้มครองสิทธิ และคณะหยิบประเด็นมา เป็นความท้าทาย และสำคัญอย่างยิ่ง

พ.ต.อ.ทวี กล่าวอีกด้วยว่า ในเรื่องของแรงงาน ตนเองคิดว่าปัญหาแรงงานกับสิทธิมนุษยชน ในข้อศึกษาเป็นโอกาสที่จะส่งเสริมการพัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพ และความพร้อมในทรัพยากรด้านต่างๆ และจะต้องมีการพัฒนายิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งในแผนก็ได้มีการกำหนดหัวข้อที่จะมีการติดตาม และยกระดับ รวมถึงด้านชุมชน ด้านที่ดิน และด้านทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ในปัจจุบันการกระจายที่ดิน เป็นเรื่องที่มีการเรียกร้องว่ามีการกระจุกตัว และเรียกร้องให้มีการปฏิรูปที่ดิน ซึ่งเรื่องสิ่งแวดล้อมก็ถูกหยิบยกขึ้นมาให้เป็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ซึ่งหากมีละเมิดก็จะต้องถูกตรวจสอบ โดยจะเริ่มนำมาใช้ในปี 2567 และอยู่ในแผนปฏิบัติการนี้ ซึ่งมีหลายอย่างที่รัฐบาลไทยจะต้องไปดำเนินการ หรือแก้ไขกฎหมาย

สำหรับด้านการปกป้องนักสิทธิมนุษยชนนั้น นับเป็นโชคดีของประเทศไทยที่รัฐสภายุคที่แล้วได้ผ่านกฎหมายการป้องกันการซ้อมทรมาน และการบังคับสูญหาย เพราะนักสิทธิมนุษยชนจะต้องออกมาปกป้องสิทธิมนุษยชน การที่ประเทศไทยมี พ.ร.บ. อุ้มหายฯ ก็ถือเป็นหลักประกันของนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ที่จะได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายที่เป็นรูปธรรม

ส่วนการลงทุนระหว่างประเทศ หรือบริษัทข้ามชาติ ที่มีเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่เราต้องการนักลงทุนต่างชาติเข้ามา เมื่อเรามีมาตราฐานทางด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ตนเองคิดว่าเป็นเรื่องที่เราจะเดินไปด้วยกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และขอชื่นชมแผนการจัดทำปฏิบัติการ ที่ศึกษาวิจัย และกำหนดแนวทางปฏิบัติ รวมถึงการรวบรวมข้อมูล และการร่างแผนไปทั่วภูมิภาค ซึ่งที่สำคัญแผนนี้ได้ถูกรองรับโดยมติคณะรัฐมนตรี แม้จะไม่ใช่กฎหมาย แต่ก็เป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องปฏิบัติตาม และเป็นเรื่องที่พวกเราจะมารับรองให้เป็นสู่ความสำเร็จ ตนจึงอยากให้แผนนี้ได้เกิดผลในการปฏิบัติ เพื่อนำประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

Related Posts

Send this to a friend