นายกฯ ปิดประตูนิรโทษกรรม ลั่นคนทำผิดทั้ง ใน – นอกประเทศ ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
นายกฯ ปิดประตูนิรโทษกรรม ลั่นคนทำผิดทั้ง ใน – นอกประเทศ ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ย้อนถามต้องนิรโทษหมดคุกหรือ ฉุนสื่อ โยงถาม พปชร.- เพื่อไทย จับมือข้ามขั้ว
วันนี้ (8 ก.พ. 66) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาลว่า เป็นการประชุม ปยป.ในระยะที่ 2 โดยในระยะแรกปี 60 ถึงปี 65 ซึ่งมีความก้าวหน้าไปตามลำดับในหลายมิติ แต่ก็ต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้างในรายละเอียด โดยเฉพาะแผนในระยะที่ 3 ซึ่งจะต้องนำไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้ผ่านตามการประเมินที่ตั้งไว้ ซึ่งต้องช่วยกันแก้ไขไป พร้อมกับยังระบุอีกว่ายุทธศาสตร์ชาติมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ขอให้ย้อนกลับไปดูว่า 5 ปีที่ผ่านมาเราทำอะไรไปบ้างเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ ซึ่งต้องทำอย่างสมดุลกัน มิเช่นนั้นงบประมาณจะมีปัญหา
เมื่อถามว่า หากรัฐบาลหน้าเข้ามาจะสามารถแก้ไขแผนยุทธศาสตร์ชาติได้หรือไม่ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าสามารถแก้ไขได้ตลอด แต่ไม่สามารถยกเลิกได้เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้แล้ว ประเมินแล้ว ไม่ดีก็สามารถปรับแก้ไขได้ ซึ่งทุกประเทศเขาก็มีแบบนี้
เมื่อถามว่าในที่ประชุมได้มีการหารืออะไรเป็นพิเศษกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือไม่ พลเอกประยุทธ์ระบุว่าไม่ได้มีการหารือเรื่องอะไรแต่เป็นเพียงการคุยเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ ก่อนที่จะย้อนถามกลับสื่อมวลชนว่าจะคุยเรื่องอะไรล่ะ
ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่ามีการหารือประเด็นเรื่องสภาฯ ล่มหรือไม่ นายกรัฐมนตรีระบุว่า “ท่านก็บอกผม ผมก็รับทราบ ขอบคุณครับ ผมพยายามเต็มที่ให้แล้ว”
ผู้สื่อข่าวถามอีกด้วยว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้รายงานเรื่องการปรับเพิ่มค่าตอบแทบ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลหรือ อบต.แล้วหรือยัง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า “ยัง เป็นเรื่องของกระทรวงมหาดไทยพิจารณาอยู่ งานบางงานเป็นเรื่องของหน่วยงานเขาที่นำเสนอขึ้นมา ใช้งบประมาณของเขาเอง ในทำนองนี้ เพราะงบกลางต้องใช้เป็นกรณีฉุกพิเศษ กรณีเร่งด่วนหรือจำเป็น ไม่ใช่จะเพิ่มตรงไหนก็ได้ ต้องไปดูว่างบประมาณมีเพียงพอแล้วหรือไม่ ใช้งบสะสมได้หรือไม่”
เมื่อถามย้ำว่าเกรงจะมีข้อครหาหรือไม่ เพราะเป็นการใช้งบประมาณช่วงก่อนเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีย้อนกลับว่า “ถ้าคิดอย่างงั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเลย ผมคิดว่าถ้าทำได้แล้วผ่านหลักเกณฑ์ผ่านกติกา ถูกต้องก็สามารถทำได้ ไม่เช่นนั้นก็กลายเป็นว่าไม่ต้องทำอะไรเลย”
พร้อมกันนี้ยังระบุว่า “การเลือกตั้งอาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ก็ไม่รู้ว่าจะได้รัฐบาลอีกทีเมื่อไหร่ไม่งั้นก็ไม่ต้องทำอะไรเลยนั่งเฉยๆ เอาไหมล่ะก็ทำเท่าที่ทำได้”
ส่วนข้อสั่งการที่มอบหมายให้ ปยป. รวบรวมข้อมูล เพื่อชี้แจงต่อการอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 152 พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า “ก็ต้องเตรียมไว้แหละพูดมาก็ตอบไป”
ในส่วนของการปรองดองที่มีการพูดถึงเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม นายกรัฐมนตรีสวนกลับในทันทีว่า “ไม่พูด ไม่เกี่ยวข้อง เรื่องการปรองดองไม่ได้เกี่ยวกับตรงนู้น นั่นเป็นเรื่องของกฎหมายก็ไปว่ากันที่สภา การปรองดองของเราหมายถึงความรักความสามัคคีใช่หรือไม่ เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมมันมีกระบวนการอยู่เท่านั้น การจะทำอะไรก็ตามอย่าให้เกิดผลกระทบต่อคนอื่นเขาด้วย ทุกคนมีสิทธิ์เสรีภาพและหน้าที่เหมือนกันทุกคน เพราะกฎหมายเดียวกัน”
เมื่อถามย้ำว่า ใครที่มีคดีอยู่ก่อนจะต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมใช่หรือไม่ไม่ว่าจะอยู่ในไทยหรือต่างประเทศ พลเอกประยุทธ์ มองด้วยหางตาก่อนที่จะกล่าวว่า “มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วจะถามทำไม”
ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐเตรียมเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมหากได้เป็นรัฐบาลหน้า พลเอกประยุทธ์ ระบุว่า “ก็เสนอขึ้นมาก็แล้วกัน ส่วนจะผ่านหรือไม่ผ่าน ผมไม่ทราบ เพราะกฎหมายนี้หากนิรโทษกรรมคนบางกลุ่มแล้วคนอื่นล่ะ ต้องนิรโทษทั้งคุกเลยละมั้ง เพราะกฎหมายเดียวกันนี่ ใครทำผิดกฎหมายนั้นก็ว่ากันตามกฎหมายนั้นถ้าจะมาเลือกปฏิบัติผมว่ามันไม่ถูก ผมว่ามันไม่ควร ผมไม่ได้ไม่ชอบหรือเกลียดใคร เขาทำผิดกฎหมายเอง ทุกคนที่ทำผิดกฎหมายต้องยอมรับผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่อย่างนั้นอยู่กันไม่ได้หรอก ต้องเข้ามาสู้คดีตามหลักฐานที่มีอยู่มีทนายมีศาลแล้วจะเอาอะไรกันอีกทั้งโลกเขาอยู่กันแบบนี้ละมั้ง”
ส่วนที่ถูกมองว่ากรณีมีนิรโทษกรรมจะเป็นการจับมือร่วมกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ พล.ประยุทธ์ ตอบด้วยเสียงที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวว่า “นี่ก็มาถามแต่เรื่องการเมืองนะเธอ ฉันไม่เกี่ยวข้องกับใครทั้งสิ้น ผมพูดในหลักการของการเป็นนายกรัฐมนตรี”
เมื่อถามย้ำว่า จะเป็นการเชื่อมโยงกับนายทักษิณชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีหรือไม่ พลเอกประยุทธ์ยังตอบด้วยน้ำเสียงที่มีอารมณ์ฉุนเฉิน ว่า “ก็คุณโยงเองไม่ใช่หรือ ผมไม่ได้พูดกับคุณเลยนะเนี้ย ไปตอบเรื่องโน้น เรื่องนี้ผมไม่ตอบหรอกเพราะมันไม่ควรจะถามผมหรอกเรื่องนี้”
ทั้งนี้ในช่วงท้ายนายกรัฐมนตรี ยังปฏิเสธตอบคำถาม ว่าใกล้หมดรัฐบาลแล้ว นายกรัฐมนตรีมีภูมิต้านทานทางการเมืองเข้มแข็งพอใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีได้แต่เพียงยิ้มและหันมาเบ่งกล้าม ชูกำปั้น ให้กับสื่อมวลชนก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า