‘เจษฎ์’ ประกาศ ไล่นายกฯ ก่อนเขมร ลั่น ถ้าทำไม่ได้ก็พากันลาออก หากรักษาอธิปไตยไทยไม่ได้
วันนี้ (7 มิ.ย. 68) รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ปัญหาชายแดนระหว่างประเทศไทย และกัมพูชา รัฐบาลดำเนินการช้าไปว่าก็จริงอย่างที่เขาว่า เรื่องการระหว่างประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศที่มีอาณาเขตติดต่อกัน ถ้าหากมีการกระทำอะไรที่ก่อให้เกิดนัยยะสำคัญ หรือการเคลื่อนไหวในลักษณะที่มีโอกาสกระทบต่อความมั่นคง โดยเฉพาะกระทบต่อบูรณภาพของอาณาจักร ต้องรีบดำเนินการโดยด่วน
อีกทั้ง การที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีฝั่งกัมพูชามาที่ปราสาทตาเมือนธมแล้วร้องเพลงชาติ เราต้องดำเนินการตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ถ้าเราจะทำเป็นทางการน้อยที่สุด ต้องให้กระทรวงการต่างประเทศเชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชามาคุย โดยให้สื่อสารไปยังประเทศกัมพูชาว่าหากทำเช่นนี้จะกระทบต่อความมั่นคงได้ เพราะเป็นบุคคลที่อยู่ในระดับบริหารราชการแผ่นดิน แต่เมื่อไม่ดำเนินการการรุกคืบจะเกิดขึ้นทันที กลายเป็นว่ามีการแสดงเชิงสัญลักษณ์ ชาวบ้านเข้ามา ซึ่งเป็นการเข้ามาสอดแนม แต่เราอาจจะไม่ได้คิดตาม เขาตั้งใจจะแสวงหาข่าวเพื่อไปส่งต่อหรือไม่ แต่หากยกระดับขึ้นมาเป็นทหารเข้ามาในพื้นที่ No man’s land เราต้องดำเนินการโดยด่วนผลักดันให้ถอยไป เราไม่อยากจะเสียเลือดเสียเนื้อหรือศึกสงคราม
“เชื่อว่าทหารทุกคนก็ไม่อยากให้เป็นศึกสงครามมากที่สุด เพราะท่านเจ็บท่านตายจริง พวกเราโดยเฉพาะนักการเมืองไม่เจ็บ ไม่ตายจริงหรอก อย่างมากก็พูด ๆ ว่านโยบายฉันอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ได้ทำให้เกิดผลอะไรขึ้น โดยเฉพาะในทางกายภาพ ฉะนั้น ทหารเขาไม่อยากรบ แต่หากมีภาวการณ์ที่จำเป็นในทางระหว่างประเทศ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศด้วยซ้ำ อาจจะมีการป้องกันตัว อาจจะมียิงขู่ เช่น ยิงขึ้นฟ้าเพื่อผลักดันคนเหล่านี้ให้ถอยไป คุณอย่าไปใช้วิธีพูด เดินไปแล้วไปคุย เฮ้ย เธอถอยไปเถอะ เธอเอาคนของเธอไป กัมพูชาเขาจะทำแบบนี้ แต่ท้ายที่สุดพอลุกคืบมาถึงเขตแดนเราแล้ว ข้ามเข้ามาเขตแดนเราแล้ว จะมาบอกว่าคุยกัน มันจะไม่ได้ผลแล้ว ถ้าถูกดึงลากไปศาลโลก ตั้งแต่ปี 2503 เราไม่รับเขตอำนาจศาลโลก” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว
รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวต่อว่า เราไม่ได้ปฏิเสธกลไกกฎหมายระหว่างประเทศ แต่ไม่ต้องถึงขั้นนั้น และเป็นอาณาเขตของเรา รัฐบาลเป็นฝ่ายที่ย่อหย่อนที่สุด ตอนนี้คนพูดกันว่าทหารพร้อม ประชาชนพร้อม แต่รัฐบาลกลับไม่พร้อมแล้วจะมาบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างไร ถึงกับมีคนบอกว่าไล่รัฐบาลก่อนไล่เขมรดีหรือไม่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ไทยอาจถึงขั้นเสียดินแดนหรือไม่ รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าวว่า ไม่แน่ว่าถึงขั้นเสียดินแดนหรือไม่ แต่ตอนนี้ต้องบอกว่าเสียเปรียบ เสียสถานภาพในเวทีโลก เพราะมัวแต่มะงุมมะงาหรา จะทำอะไรก็ไม่ทำ เงื้อง่า และทำเป็นพูดว่าทำแล้ว คุยแล้ว ยกพูดอ้างก็ยกแต่ความสัมพันธ์ส่วนตัว ซึ่งต้องบอกว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวต้องวางไว้ นี่เป็นเรื่องทางการบ้านการเมือง ตอนนี้ทำให้เราเสียเปรียบและเสียพื้นที่ในเวทีระหว่างประเทศหรือเวทีโลก
“กัมพูชาลุกคืบจะไปศาลโลกจะยึด 4 ปราสาท ประกาศว่า ไทยยิงฉัน ทั้งที่ทุกอย่างเราไม่ได้ทำอะไรเลย แต่คนที่เป็นตัวแทนบ้านเมืองเราไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่บอกประชาชนชาวโลกจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังบอกแค่ว่าจะไปคุยกับ 3-4 กรอบในคณะกรรมการร่วมกัน คณะกรรมการเหล่านั้นจะคุยได้อย่างไร ประธานก็เป็นประธานร่วม กรรมการคณะกรรมการก็จำนวนเท่ากัน แล้วจะคุยได้อย่างไร กัมพูชาก็บอกว่าฉันไม่คุยกับเธอ ข้อเสนอที่เสนอมาฉันก็ไม่รับเพราะเป็นดินแดนฉัน แล้วเราทำ เราเสียเปรียบจากการที่คุณเงื้อง่า ไม่ทำอะไร และไม่บอกให้ประชาชนชาวโลกรู้ว่าเราอยู่ตรงไหน เรายืนอยู่ตรงจุดใด อะไรคือของเรา และพูดแต่ความสัมพันธ์ส่วนตัว รัฐมนตรีกลาโหมทำอะไร ไม่รู้เรื่องรู้ราว นายกฯก็ไม่ใช่ พ่อนายกฯก็พูดได้แต่เรื่องส่วนตัว พูดแต่เรื่องเอาแต่กาสิโน เอาแต่ความฉิบหาย ความวิบัติเข้าสู่บ้านเมือง แต่ความสถาพร การรักษาสถานภาพอาณาจักร ทำให้บ้านเมืองอยู่ดี ประชาชนมีสุข แล้วสิ่งที่เป็นของเราต้องเป็นของเราประชาชนชาวโลกต้องรับรู้ ไม่เห็นจะมีแบบนี้ บอกว่าทำแล้วได้อย่างไร มีแต่จะทำให้เสีย มีแต่จะทำให้หาย ไม่ได้ทำให้ได้ ไม่ได้ทำให้ดีขึ้นมา” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว
ส่วนหากเป็นไปในทิศทางไม่ดี นายกฯ ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไม่ รศ.ดร.เจษฎ์ ระบุว่า ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว ถ้าดูแลบ้านเมือง ไม่ใช่แค่นายกฯ แต่ต้องพากันลาออกกันไปให้หมด สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องชี้วัดว่าการที่จะดูแลบ้านเมือง บริหารราชการแผ่นดิน และทั้งรัฐสภา สส. สว. ที่บอกว่าเป็นตัวแทนประชาชนคนไทย คุณทำอะไรบ้าง พากันออกให้หมด ถ้าทำหน้าที่ไม่ได้ ประชาชนทำกันเองได้ ทหารช่วยกันทำได้ ที่พูดไม่ได้บอกให้ปฏิวัติ แต่ต้องเปลี่ยนไปตามครรลองที่คิดจะทำ แต่ต้องลาออกไปก่อนเพราะทำงานกันไม่ได้ เหมือนบริษัทห้างร้าน ถ้าคนทำงานไม่ได้ก็ต้องไล่ออก