POLITICS

กต.ย้ำสัมพันธ์ไทย-จีน ยังห้าม น.ศ. ทุกชาติเข้าประเทศ-แจ้งชื่อเอกอัครราชทูต คนใหม่แล้ว

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ  เปิดเผยว่า  กรณีมีรายงานข่าวจากสื่อมวลชนบางแห่งพาดพิงการดำเนินงานของกระทรวงการต่างประเทศว่าประเทศไทยเอนเอียงเข้าข้างสหรัฐอเมริกาจนทำให้ประเทศจีนไม่พอใจไทยและส่งสัญญาณด้วยการชะลอการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยคนใหม่ และไม่อนุญาตให้นักศึกษาไทยเดินทางกลับไปเรียนต่อในจีนนั้น  กระทรวงการต่างประเทศขอชี้แจงว่าไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างสมดุลกับสหรัฐฯและจีน  รวมถึงไทยกับจีนมีความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงความร่วมมือทางยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน มีการเยือนและหารือกันอย่างต่อเนื่อง อาทิ การหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีจีนในการครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อปี 2563 การเยือนไทยของมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศจีนเมื่อเดือน ต.ค.2563 ซึ่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนแรกที่เยือนไทยหลังเกิดสถานการณ์โรคโควิด-19  รวมถึงการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศ ไทย-จีนเมื่อเดือนก.พ.และเม.ย.2564

นายธานี กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย– จีน ครั้งที่ 5 ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2564  และขณะนี้นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ กำลังร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน–จีน สมัยพิเศษ และการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง–ล้านช้าง ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 6-8 มิ.ย.2564 ที่นครฉงชิ่งประเทศจีน และจะมีกาหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีนด้วย ความสัมพันธ์ไทย–จีน จึงยังใกล้ชิดแน่นแฟ้น โดยมีการหารือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

สำหรับกรณีนักศึกษาไทยที่ยังไม่สามารถเดินทางกลับไปเรียนต่อที่จีนได้นั้น  นายธานี กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลจีนยังไม่มีนโยบายให้นักศึกษาต่างชาติไม่ว่าจากประเทศใดเข้าจีน ไม่ใช่เฉพาะนักศึกษาจากไทยเท่านั้น โดยได้ให้ใช้การเรียนออนไลน์ไปก่อน กระทรวงการต่างประเทศตระหนักดีถึงความเดือดร้อนและเห็นใจนักศึกษาไทยที่ประสงค์จะเดินทางกลับไปศึกษาต่อในจีนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถเรียนออนไลน์ได้ เช่น นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายที่ต้องฝึกงานและต้องใช้ห้องปฏิบัติการ  

กระทรวงการต่างประเทศได้เร่งแก้ไขปัญหาโดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตไทยหารือกับหน่วยงานจีนเพื่อหาทางออก และได้หารือกับมนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ทั้งในการเยือนไทยเมื่อวันที่ 15 ต.ค.2563 และในการหารือทางโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2564 และผู้บริหารระดับสูงของทั้งกระทรวงต่างประเทศและสถานเอกอัครราชทูตไทยและสถานกงสุลใหญ่ไทยต่างๆ ในจีนได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นหารือกับทางการจีนและสถาบันการศึกษาของจีนด้วยในหลายโอกาส  โดยเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้แจ้งเอกอัครราชทูตไทยว่าจีนเข้าใจความจำเป็นของนักศึกษาต่างชาติที่ประสงค์จะกลับจีน แต่หน่วยงานจีนยังกังวลต่อความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงบังคับใช้มาตรการดังกล่าวกับนักศึกษาต่างชาติจากทุกประเทศ 

โดยกระทรวงต่างประเทศจีนเห็นว่า เมื่อจีนผ่อนคลายมาตรการแล้ว นักศึกษาไทยควรเป็นกลุ่มแรกที่จะได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับไปศึกษาต่อที่จีน และเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้แจ้งปลัดกระทรวงการต่างประเทศในการประชุมหารือเชิงยุทธศาสตร์ไทย – จีน ครั้งที่ 5 ว่า ฝ่ายจีนทราบดีว่าฝ่ายไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยหวังว่า เมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ เอื้ออำนวย ปัญหาดังกล่าวน่าจะได้รับการแก้ไขโดยเร็ว

ต่อคำกล่าวว่าจีนเปิดให้นักศึกษาจากประเทศสมาชิกหลายประเทศเดินทางเข้าจีนได้แล้วตั้งแต่ในช่วงที่ไทยยังควบคุมโรคโควิด-19 ได้ดีนั้น นายธานียืนยันว่า จีนยังไม่อนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติจากประเทศใดเดินทางเข้าจีน เนื่องจากยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการนำเชื้อโควิด-19 จากต่างประเทศเข้ามาในจีนและเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2564 เอกอัครราชทูตไทยพร้อมด้วยเอกอัครราชทูตประเทศสมาชิกอาเซียนประจำจีน ได้ปรึกษาหารือในเรื่องนี้เพื่อหาทางผลักดันให้กระทรวงการต่างประเทศจีนช่วยเร่งรัดกับหน่วยงานจีนพิจารณาอนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศในอาเซียนเดินทางกลับไปศึกษาต่อในจีนได้โดยเร็ว

ส่วนเรื่องการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยคนใหม่ นายหลิ่ว เจี้ยน อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้กลับจีนไปตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 และเมื่อเดือนเมษายน 2564 สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยได้มีหนังสือแจ้งการพ้นตำแหน่งของเอกอัครราชทูตหลิ่วก่อนครบวาระประจำการเนื่องจากปัญหาสุขภาพ โดยสถานเอกอัครราชทูตจีนให้ข้อมูลว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงเอกอัครราชทูตจีนในต่างประเทศนอกฤดูกาลอย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้จีนต้องเริ่มการสรรหาบุคคลที่เหมาะสมนอกวงรอบการพิจารณาปกติ ทั้งนี้ เมื่อกลางเดือน พ.ค.2564  ฝ่ายจีนได้ยื่นหนังสือขอความเห็นชอบการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยคนใหม่แล้ว

ต่อกรณีมีการพาดพิงว่าทางการไทยอนุญาตให้สหรัฐสร้างสถานกงสุลใหญ่สหรัฐประจำจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งใช้งบประมาณก่อสร้าง 9,000 ล้านบาท และรูปแบบโครงสร้างอาคารเป็นความลับที่อาจมีการติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้เป็นฐานติดตามความเคลื่อนไหวของจีนแทนสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ ประจำนครเฉิงตู ที่ถูกปิดไปก่อนหน้านี้  นายธานีชี้แจงว่า อาคารสถานกงสุลสหรัฐฯ ประจำ จ.เชียงใหม่ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2493 และได้รับการยกฐานะเป็นสถานกงสุลใหญ่ เมื่อปี 2529  ต่อมาในปี 2560 ฝ่ายสหรัฐได้ขอปรับปรุงและเริ่มก่อสร้างอาคารที่ทำการแห่งใหม่ เนื่องจากที่ทำการเดิมมีพื้นที่คับแคบ ไม่ตอบสนองนโยบาย Under One Roof Policy ของรัฐบาลสหรัฐที่ประสงค์ให้บุคลากรทางกงสุลและหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐในเชียงใหม่ทั้งหมดปฏิบัติงานในที่เดียวกัน และเพื่อรองรับการให้บริการกงสุลแก่คนอเมริกัน คนไทยและคนต่างชาติในภาคเหนือ โดยมีกำหนดก่อสร้างเสร็จในปี 2566 

ทั้งนี้ เชียงใหม่ยังเป็นที่ตั้งของสถานกงสุลใหญ่จีน ญี่ปุ่น และอินเดียด้วย ซึ่งการตั้งสถานกงสุลต่างประเทศในไทยทุกแห่ง รวมทั้งการก่อสร้างที่ทำการอยู่ภายใต้กฎหมายไทย หลักปฏิบัติสากล กฎหมายระหว่างประเทศ

Related Posts

Send this to a friend