‘โรม’ จี้รัฐบาลออกมาตรการปราบคอลเซ็นเตอร์ เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ
‘โรม’ จี้รัฐบาลออกมาตรการปราบคอลเซ็นเตอร์ เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่ไทยเทาลูกกระจ๊อก ห่วงรัฐบาลเสียความมุ่งมั่นจนกลายเป็นลูบหน้าปะจมูก งงหมายจับ ‘หม่อง ชิตตู’ มีแต่ข้อหาค้ามนุษย์ ยังปล่อยให้ค้างคา สงสัย ทำไมตั้งข้อหาแค่ค้ามนุษย์ ทั้งที่เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ
วันนี้ (6 มี.ค. 68) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงการประเมินการทำงานของรัฐบาลในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังครบ 1 เดือนที่ทางการไทยตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า และน้ำมัน
นายรังสิมันต์ ระบุว่าการตัดไฟ อินเทอร์เน็ต และน้ำมัน เป็นก้าวแรกที่ดี และส่งผลกระทบต่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้จริง แต่ไม่หมด ตอนนี้เรามีข้อบ่งชี้หลายอย่างว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะกลับมาเห็น ดูจากตัวเลข ที่ไปทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีเหยื่อ 7,000 กว่าคน เป็นสัดส่วนที่น้อยมาก ถ้ายังค้างอยู่แบบนี้ เผลอ ๆ ใน 7,000 คนนี้ อาจจะกลับไปเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใหม่ นอกจากนี้การตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตยังไม่เพียงพอ เพราะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้สตาร์ลิงค์มารองรับ หากรัฐบาลไม่คุยกับเจ้าของบริษัท สุดท้ายเขากลับไปใช้สตาร์ลิงค์ได้
เราต้องการมาตรการที่มากกว่านี้ วันนี้ไทยเทาที่จับได้เป็นแค่ระดับลูกกระจ๊อกเท่านั้น คนที่เราต้องการจริง ๆ คือระดับเจ้าหน้าที่รัฐที่สมคบคิดรับส่วย แต่เรายังไม่เห็นความคืบหน้า และอัยการสูงสุดยังไม่ดำเนินการอะไรกับ พ.อ.หม่อง ชิตตู ผู้นำกองกำลัง BGF ปล่อยให้เรื่องนี้ค้างคาต่อไป เกิดอะไรขึ้นกับหน่วยงานของรัฐ ตนเองชื่นชมกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว แต่ข้อหาก็ยังแปลก เน้นไปที่เรื่องค้ามนุษย์ ควรจะตั้งข้อหาอาชญากรรมข้ามชาติ ค้ายาเสพติดก็สามารถทำได้ เนื่องจากมีหลักฐานบ่งชี้
เราต้องยอมรับว่าการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไปให้ถึงรากแก้ว เรายังไม่ประสบความสำเร็จ ตนเองเป็นห่วงว่ารัฐบาลจะสูญเสียความมุ่งมั่นในเรื่องนี้ และจะกลายเป็นการลูบหน้าปะจมูกเท่านั้น ส่วนตัวมองว่ากระบวนการคัดกรองไม่ประสบความสำเร็จ เราไปทลายฝั่งกัมพูชาแล้วนำมาเข้าสู่กระบวนการคัดกรอง นำไปสู่การขยายผลจับกุม แต่ฝั่งเมียนมา เราไม่ได้คัดกรอง เราส่งอย่างเดียว กลายเป็นว่าเราต้องไปพึ่งพาประเทศอื่นให้เขาจัดการ สุดท้ายไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร