เครือข่ายตากใบต้องไม่เงียบ ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง UN ขอให้นานาชาติทบทวนการพิจารณาคดีตากใบ

วันนี้ (5 พ.ย.67) เครือข่ายตากใบต้องไม่เงียบ เดินทางมายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อองค์การสหประชาชาติประจำประเทศไทย (UN) กรณีคดีตากใบสิ้นสุดอายุความ
นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน เป็นตัวแทนอ่านจดหมายเปิดผนึกระบุ ถึงความกังวลต่อคดีตากใบที่หมดอายุความ ซึ่งเป็นบาดแผลลึกให้กับสังคม และกระทบความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ เนื่องจากเกิดการลอยนวลพ้นผิด จากการใช้อำนาจรัฐละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงต่อประชาชนจำนวนมาก
เหตุการณ์เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 เป็นเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก จากการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่รัฐ การหมดอายุความคดีตากใบ จึงทำให้เกิดข้อกังขาในสังคมว่า อาจจะขัดกับอนุสัญญาว่าด้วยการทรมานและปฏิบัติที่โหดร้ายทารุณหรือการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมและย่ำยีศักดิ์ศรี (Convention Against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment) ซึ่งไทยได้ให้สัตยาบัน และมีพันธกรณีตั้งแต่หัวข้อว่าด้วยการทรมาน การฝึกฝนเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวกับการจัดการชุมนุม การสอบสวนข้อเท็จจริงและสิทธิในการชดเชยโดยการรับผิดทางคดีของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
เครือข่ายตากใบต้องไม่เงียบจึงคาดหวังต่อกระบวนการยุติธรรมในระดับนานาชาติ ดังนี้
1.ขอให้สหประชาชาติผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และทบทวนกระบวนการพิจารณาคดี เพื่อพิจารณาว่ามีช่องทางใดที่จะสามารถเยียวยา และสร้างความยุติธรรมให้ผู้เสียหาย
2.ขอให้กลไกสหประชาชาติเฝ้าระวังการใช้กฎหมายละเมิดต่อโจทก์ นักกิจกรรม นักข่าว และกลุ่มอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเหยื่อผู้สูญเสียในคดีตากใบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และการมีส่วนร่วมของพลเมือง
3.ขอให้นานาชาติหาวิธีผลักดันกระบวนการยุติธรรมในเวทีระดับนานาชาติ เพื่อให้เกิดการติดตามอย่างต่อเนื่องในระดับสากล
4.ขอให้สหประชาชาติสนับสนุนกระบวนการความจริงและการปรองดองในพื้นที่ โดยเปิดเผยข้อเท็จจริงและรับฟังเสียงของผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้ในอนาคต
5.ปัจจุบันไทยยังบังคับใช้กฎหมายพิเศษ 3 ฉบับในพื้นที่ปาตานีและชายแดนใต้ โดยเฉพาะกฎอัยการศึกและ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีการต่ออายุการบังคับใช้เป็นครั้งที่ 80 เมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา จึงขอให้สหประชาชาติเสนอแนะต่อรัฐบาลไทย ให้ยกเลิกการบังคับใช้กลุ่มกฎหมายนี้
นายมูฮัมหมัดกัสดาฟี กูนา จาก The Patani เปิดเผยภายหลังเข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกว่า UN ได้ติดตามคดีตากใบ และจะอัปเดตความคืบหน้าในการประชุมของ UNHCR ที่จะจัดขึ้นร่วมกับคณะทูตทุก 3 เดือนด้วย นอกจากนี้ยังได้หารือกับ UN เกี่ยวกับเรื่องการต่ออายุความ และกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ
นายไผ่ กล่าวต่อว่าหลายเรื่องติดปัญหาจากกรณีที่ไทยไม่ได้ลงนามเป็นรัฐภาคีว่าด้วยกฎหมายซ้อมทรมาน อนาคตจะมีการยื่นหนังสือในสถานเอกอัครราชทูตที่จำเลยได้มีการหลบหนี เพื่อหารือว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยรัฐบาลในฐานะที่เป็นหน่วยงานหลักสามารถใช้กลไกรัฐสภาในการแก้กฎหมาย ขยายอายุความ หรือสร้างความปรองดอง
แม้จะมีสนธิสัญญาในการประสานงานต่อรัฐอื่น เพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี แต่รัฐบาลนี้ก็ไม่ได้กระทำ กลับปิดช่องทางเหล่านั้นทั้งหมด รัฐบาลจึงต้องใช้กลไกระหว่างประเทศในการจัดการกับคดีตากใบหลังหมดอายุความ อีกทั้งยังมีกรณีปลัดอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม ที่เป็นหนึ่งในผู้ต้องหา กลับมาปฏิบัติหน้าที่ทันทีหลังคดีหมดอายุความ เห็นได้ชัดว่ารัฐ ปล่อยปละละเลยให้ผู้กระทำผิดใช้ชีวิตปกติ ซึ่งอาจจะกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดให้เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลนี้
นายมูฮัมหมัดกัสดาฟี กล่าวถึงกรณีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีปลัดอำเภอท่าอุเทนว่า ท่าทีของรัฐบาลควรมีมากกว่าการตั้งคณะกรรมการสอบ อย่างน้อยต้องเอาผู้ที่กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนในพื้นที่มีความสิ้นหวังกับกระบวนการยุติธรรม กรณีที่ญาติของผู้สูญเสียออกมาฟ้องร้อง จึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญ เพราะพวกเขาเชื่อว่า กระบวนการยุติธรรมจะนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้ง แต่เมื่ออายุความหมดไปไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ รัฐบาลจึงต้องเรียกความเชื่อมั่นให้คนในพื้นพื้นที่ด้วยการยกเลิกกฎหมายพิเศษ 3 ฉบับที่ได้บังคับใช้ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้