POLITICS

เจ้าของปั๊ม ปตท.ศรีสะเกษ ร้อง 4 หน่วยงาน ขอความช่วยเหลือ เยียวยา คาดเสียหายกว่า 20 ล้าน

เจ้าของปั๊ม ปตท. ศรีสะเกษ ร้อง 4 หน่วยงานหลัก เร่งประสานขอความช่วยเหลือค่าใช้จ่าย-เยียวยา หลังเหตุปะทะชายแดน คาดความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท

วันนี้ (4 ส.ค. 68) ที่กระทรวงพลังงาน นางสาวกมลรัตน์ พลเศรษฐเลิศ เจ้าของสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาบ้านผือ จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมลูกสาว เข้ายื่นหนังสือต่อ 4 หน่วยงานหลัก นำโดย พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้ช่วยเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.), ผู้บริหารระดับสูงจาก บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน), ทีมประสานงานของนายชณทัต

เพื่อขอความช่วยเหลือในการเยียวยาความเสียหายจากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นมูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท

พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ กล่าวว่าเรื่องราวในวันนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบเป็นการเฉพาะของกระทรวงพลังงาน เพียงแต่ว่าเหตุการณ์ที่ทุกท่านทราบดีกันอยู่แล้ว มันเกิดขึ้นในปั๊ม ปตท. ซึ่งอยู่ในการกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน วันนี้ตนเองได้รับมอบหมายจาก นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่าเราจะหาแนวทางในการแก้ไข การเยียวยาลักษณะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายรองรับนี้ได้อย่างไร

“หลังจากเยียวยาแล้ว เราในฐานะรัฐ เราก็ควรที่จะถอดบทเรียนนี้ เพราะหากในอนาคตไม่ว่าจะใกล้หรือไกลมีเหตุลักษณะนี้เกิดขึ้นกับกิจการใด ๆ ที่อยู่ตามแนวชายแดน ถ้า คปภ. ไม่ชี้ให้ชัดแล้ว ชาวบ้าน กิจการของคนไทยที่อยู่ตามแนวชายแดนจะระทึกขนาดไหน ถ้าเขาคิดว่าเขาต้องช่วยเหลือตัวเอง ไม่มีใครไปดูแลเขา” พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ กล่าว

พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องของข้อกฎหมายที่จะต้องตีความกัน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบกับ PTTOR, กรมธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวข้อง วันนี้เราต้องออกมาช่วยแก้ไขปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็น 7-Eleven ที่เกิดขึ้น หรือบริษัทประกัน แต่จุดสำคัญอยู่ที่ว่า คปภ. มีการตีความในเรื่องของประกันอย่างไร รัฐบาลเห็นถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน และได้มีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งรัดการช่วยเหลือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ควรปล่อยให้ผู้ประกอบการต้องเผชิญกับความเสียหายโดยลำพัง

นางสาวกมลรัตน์ กล่าวว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค. 68 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้องอพยพออกจากพื้นที่ด้วยความหวาดกลัว กิจการของครอบครัวได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยต้องหยุดดำเนินการนานถึง 3 เดือน เบื้องต้นได้ประเมินความเสียหายไว้ที่ประมาณ 18 ล้านบาท และเมื่อรวมความเสียหายเพิ่มเติมภายหลัง คาดว่าตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กิจการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการผ่อนชำระหนี้กับธนาคาร เป็นการกู้ยืมโดยนำที่ดินของครอบครัวมาค้ำประกัน ส่งผลให้ปัจจุบันยังต้องรับภาระดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง

“เราไม่ได้ทำผิดอะไร แต่นี่คือผลกระทบจากสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับกัมพูชา เราเป็นเพียงประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ต้องการความสงบ และไม่อยากให้เกิดความสูญเสียแบบนี้อีก เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของใครเลย ไม่ใช่ความผิดของซีพี ไม่ใช่ความผิดของโออาร์ รัฐควรรับผิดชอบ 100% ในความเป็นจริงแล้ว ควรเป็นหน้าที่การรับผิดชอบของภาครัฐ 100% แต่ตอนนี้ยังไม่ได้รับความชัดเจนในเรื่องของการเยียวยา ว่าจะช่วยเหลืออย่างไร ช่วยเหลือแบบไหนกับความสูญเสียในครั้งนี้” นางสาวกมลรัตน์ กล่าว

ขณะที่ นายคณานุสรณ์ เที่ยงตระกูล ผู้ช่วยเลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เข้าข่ายข้อยกเว้นตามเงื่อนไขกรมธรรม์ที่ระบุว่า กรณีสงคราม จะไม่อยู่ในความคุ้มครอง โดยชี้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการปะทะกันตามแนวชายแดนระหว่างกำลังทหารของ 2 ประเทศ ยังไม่ถึงขั้นเป็นสงครามตามคำนิยามของกรมธรรม์แต่อย่างใด บริษัทประกันภัยจึงต้องรับผิดชอบในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขเบื้องต้น สำนักงาน คปภ. ได้มอบหมายให้สำนักงานจังหวัดศรีสะเกษ ลงพื้นที่ตรวจสอบกรมธรรม์ของผู้เอาประกันภัย พบว่ามีการทำประกันไว้ 2 ประเภท ได้แก่ ประกันทรัพย์สิน ครอบคลุมอาคารทั้งหมดภายในสถานีบริการ และประกันความรับผิดบุคคลภายนอก อาจไม่เข้าเงื่อนไขความเสียหายครั้งนี้

อย่างไรก็ตาม นายคณานุสรณ์ กล่าวอีกว่า คปภ. ได้ประสานกับบริษัทประกันภัยเพื่อขอความกรุณาให้จ่ายค่าสินไหมในส่วนของผู้เสียชีวิต แม้ในบางกรณีจะไม่ครอบคลุมโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบเพิ่มเติมว่าผู้เสียชีวิตแต่ละรายมีประกันชีวิตหรือประกันอุบัติเหตุอื่นใดอยู่หรือไม่ ซึ่งในบางกรณี เช่น เด็กนักเรียนที่เสียชีวิต ปรากฏว่าทางโรงเรียนได้ทำประกันอุบัติเหตุไว้ด้วย ทาง คปภ. จึงประสานกับโรงเรียนและบริษัทประกันภัย เพื่อให้ดำเนินการจ่ายสินไหมอย่างเหมาะสม ในส่วนของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน ผู้บริหารยืนยันว่าจะไม่ทิ้งประชาชนไว้ข้างหลัง และกำลังประสานหน่วยงานภายในเพื่อวางแนวทางการช่วยเหลือและเยียวยาอย่างเป็นธรรม

ทั้งนี้ พ.อ.เฟื่องวิชชุ์ ยังกล่าวอีกว่า เราจะนำบทเรียนจากเหตุการณ์นี้ไปปรับปรุงแนวทางดูแลผู้ประกอบการตามแนวชายแดนทั่วประเทศ ให้มีมาตรการรองรับที่ชัดเจนและเป็นธรรม รัฐจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

Related Posts

Send this to a friend