’ศศินันท์‘ จี้ ตร. เร่งตรวจสอบขบวนการชักชวนคนจีน อบรมอาสาตำรวจ

ชี้ เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ ทำประเทศเสียหาย ปูด มีการอบรมทำบัตร “ทหาร – ข้าราชการ – สื่อมวลชน” ให้คนจีน แบบ One Stop Service เตรียมให้ข้อมูล กมธ.ตำรวจ 9 มกราคมนี้
วันนี้ (4 ม.ค. 68) น.ส.ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. เขตสายไหม พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ The Reporters ถึงกรณีที่มีการเปิดรับสมัครคนจีน มาอบรมอาสาตำรวจคนจีน ที่แอบอ้างต้นสังกัด ทั้งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบังคับการตำรวจนครบาล 3 กองบัญชาการตํารวจนครบาล โดยมีค่าใช้จ่ายรายบุคคลที่ 38,000 บาท ว่า ตนเองได้รับเรื่องมาจากเพื่อนตำรวจนายหนึ่ง ก่อนที่จะมีการเริ่มอบรมด้วยซ้ำ
ในเอกสารมีการแอบอ้างตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานดังกล่าว โดยตนเองมองว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา เพื่อนตำรวจก็ส่งข้อมูลมาให้อีกรอบ ที่มีทั้งรูป และคลิปวิดีโอจำนวนมาก จึงทราบว่าเป็นการอบรมจริงๆ ตามเอกสารหลักฐาน และพบว่ามีตำรวจที่มีตัวตนจริงๆ รวมอยู่ และยังมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยอยู่ในนั้นด้วย ตนจึงได้โพสต์ลงในแอปพลิเคชั่น X เพื่อตั้งคำถาม ในฐานะคนที่เคยทำงานอยู่ในคณะกรรมธิการงบประมาณฯ ที่พอรู้อยู่ว่าจะมีงบประมาณในการจัดอบรมอาสาตำรวจต่างๆ อยู่
แต่เมื่อเป็นคนจีน และมีการออกบัตรที่ให้กับคนจีน จึงตั้งคำถามว่า ได้ใช้งบประมาณของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) หรือไม่ หากใช้งบประมาณของ ตร. จริง ทำไมถึงมีการเก็บค่าใช้จ่าย และเมื่อเก็บค่าใช้จ่ายมานั้นเงินไปอยู่ที่ใคร
น.ส.ศศินันท์ กล่าวต่อว่า หากเป็นการอบรมให้ความรู้ทางกฎหมายก็สามารถทำได้ แต่เมื่อมีการจ่ายเงิน และออกบัตรที่มีลายเซ็นของตำรวจ ก็จะทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าจะถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ และอาจสุ่มเสี่ยงที่จะนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีได้ และยิ่งมีคลิปการโปรโมทของชาวจีน ว่ามีการรับสมัครรุ่นที่ 2 ก็ยิ่งทำให้เห็นว่าจะนำไปสู่การเกิดสิ่งที่ไม่ถูกต้องขึ้นได้ในอนาคต เพราะเริ่มมีเจตนาไม่ดีที่จะให้ใครมาถือบัตรก็ได้ และจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยถูกมองในทางไม่ดี เราจึงต้องมาตรวจสอบว่าการอบรมนี้สามารถทำได้หรือไม่ และใครเป็นคนจัด
อีกทั้ง การอบรมไม่ได้มีตรวจสอบประวัติที่ชัดเจน และผู้ที่ออกมาชี้แจงทั้ง 3 คนก็ให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกัน ก็ทำให้รู้สึกไม่ชอบมาพากล ว่าสรุปแล้วคนที่อบรมเป็นนักศึกษา หรือเป็นอาสาตำรวจ รวมถึงประเด็นการจ่ายเงินที่ตอบไม่ตรงกัน จึงทำให้เราต้องติดตามต่อจากที่ตอนแรกเพียงแค่ต้องการให้ออกมาแถลงชี้แจง และยังมีกรณีคนกลางที่ทำหน้าประสานระหว่างมหาวิทยาลัยกับทางตำรวจ และเก็บเงินอีกว่าคนกลางดังกล่าวนั้นเป็นใคร
นอกจากนี้ เรายังไม่ได้ความชัดเจนจากตำรวจว่า บัตรดังกล่าวสามารถออกได้หรือไม่ ซึ่งหากบัตรไม่สามารถออกได้ ต้นสังกัดควรจะต้องมีการเรียกคืนบัตรทั้ง 27 คนก่อน เพื่อป้องกันเหตุก่อนหรือไม่ และจำเป็นที่จะต้องเรียกกลุ่มบุคคลดังกล่าวมาสอบเพิ่มเติมหรือไม่ ซึ่งยังไม่มีคำตอบในเรื่องนี้
ส่วนที่จะมีการอบรมรุ่นที่ 2 นั้น น.ส.ศศินันท์ ระบุว่า ที่เรื่องนี้เริ่มขึ้นมาก็มาจากการประกาศหาในรอบที่ 2 ซึ่งเมื่อวานนี้ (3 ม.ค. 68) คนที่เป็นต้นคลิปก็ยังโพสต์รับสมัครต่อ ซึ่งเป็นประเด็นที่มองว่า ตำรวจอาจจะลืมตามหาคนที่เป็นต้นคลิปว่าเป็นใคร อยู่ที่ใด เนื่องจากมีการใช้ข้อมูลเท็จว่า อบรมเป็นตำรวจ สามารถจับโจรได้ ซึ่งทางตำรวจควรที่จะรีบจับกุมตัวคนนี้ให้ได้ เนื่องจากสถานที่ที่ถ่ายคลิปก็อยู่ในพื้นที่ห้วยขวาง จึงไม่ทราบว่าตำรวจได้เทคแอคชั่นแล้วหรือไม่ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องความมั่นคง ไม่ใช่แค่เรื่องของตำรวจอย่างเดียวแล้ว เพราะเป็นการอัดคลิปเชิญชวนและใช้แบ็คกราวน์เป็นลอว์เฟิร์มแห่งหนึ่ง ก็อาจทำให้เสียหายได้ ทั้งตำรวจ มหาวิทยาลัยได้เหมือนกัน รัฐไทยก็เสียหายหนักเลย เพราะการอัดคลิปเชิญชวนที่มีแบ็คกราวน์เป็นประเทศไทย บอกว่าเชิญชวนคนจีนมาเป็นตำรวจที่ไทย จ่ายเงินแล้วได้บัตร ก็สร้างความเสียหายมากๆ แต่กลับยังไม่เห็นแอ็คชั่นของตำรวจเลย ว่าคนนี้อยู่ที่ไหน เป็นใคร และมีส่วนร่วมอะไรกับโปรแกรมนี้หรือไม่“
ส่วนจะมีหน่วยงานอื่นนอกจากนี้หรือไม่ ที่ถูกนำไปใช้ในการโปรโมทการอบรมในลักษณะนี้ น.ส.ศศินันท์ กล่าวว่า ตนเองไม่ขอฟันธง แต่เข้าใจว่าเป็นการเอาโลโก้ของหน่วยงานมาใช้โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตตามที่ตำรวจสอบสวนกลาง ชี้แจง แต่ประเด็นสำคัญคือตำรวจที่เข้าไปอบรมให้ทำไมถึงไม่สังเกตความผิดปกตินี้ และควรที่จะประสานกับหน่วยงานที่ถูกใช้โลโก้ เพราะตำรวจควรจะรู้มากที่สุดว่าโครงการนี้ทำได้หรือไม่ จึงมองว่าเป็นความบกพร่องของตำรวจส่วนหนึ่ง และเป็นบทเรียนที่สำคัญของตำรวจว่าการจะทำกิจกรรมที่มีส่วนร่วมใดจะต้องระมัดระวังให้ดี เพราะอาจจะเป็นตราประทับความชอบธรรมกับขบวนการที่ไม่ชอบมาพากลหรือไม่
ทั้งนี้ น.ส.ศศินันท์ กล่าวด้วยว่า ตนเองได้รับการประสานจากทางตำรวจว่า อยากให้เข้ามาให้ข้อมูลทางคดีกับตำรวจ ซึ่งก็ยินดีที่จะช่วยให้ข้อมูล แต่ก็อยากให้ตำรวจตั้งประเด็นมาก่อน ว่าจะให้ไปให้การในเรื่องอะไร ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้รับความชัดเจน รวมถึงยังได้รับหนังสือจากคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ให้เข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมธิการฯ ในวันที่ 9 มกราคมนี้ จึงอยากให้สื่อเข้าไปติดตามเรื่องนี้ด้วย
ส่วนเรื่องนี้จะมีการหยิบไปพูดคุยกันในที่ประชุมรัฐสภาหรือไม่ ก็ต้องรอหารือกับทางพรรคอีกที ว่าเราจะแก้ไขอย่างไรในระยะยาว แต่โดยหลักจะต้องเป็นทางตำรวจอยู่แล้วที่จะต้องคอยระวังเรื่องนี้ เพราะการใส่เครื่องแบบโดยไม่มีสิทธิ์มีความผิดทางกฎหมายอาญา
นอกจากนี้ น.ส.ศศินันท์ เปืดเผยอีกว่า ภายหลังจากที่ตนเองได้เปิดเผยเรื่องนี้ไป ก็ยังมีคนมาให้ข้อมูลในลักษณะนี้ที่เป็นหน่วยงานอื่นเช่นกัน เช่น หน่วยงานทหาร ข้าราชการ และยังมีกรณีบัตรสื่อมวลชนด้วยเช่นกัน ที่มีการอบรมสื่อมวลชนของคนจีน ตนก็ขอให้รอข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง ซึ่งทราบมาว่า ขบวนการของการทำงานให้กับคนจีนในการทำบัตรต่างๆ นั้นมีหลายที่ ที่เป็นรูปแบบ One Stop Service ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องติดตามกันต่อ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะออกมาเทคแอ็คชั่นในเรื่องนี้
น.ส.ศศินันท์ ยืนยันว่า คนจีนทุกคนที่เข้ามาไม่ได้เป็นจีนเทาทั้งหมด คนจีนที่เข้ามาประกอบอาชีพสุจริตก็มีเยอะ ฉะนั้นการที่เราดูแลจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการโทษคนจีนหรือตำรวจทั้งหมด แต่เราต้องการช่วยเหลือตำรวจให้ได้เห็นข้อบกพร่อง และสามารถจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง และช่วยให้คนจีนที่เข้ามาอย่างสุจริตได้ปลอดภัยจากสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน และไม่ต้องระแวงว่าใครเป็นตำรวจจริงหรือปลอม หากสังคมได้รับรู้ร่วมกัน และระมัดระวังมากขึ้นก็จะเป็นผลดีทั้งหมด
ในช่วงท้าย น.ส.ศศินันท์ ยังฝากถึง ผบ.ตร. ในเรื่องนี้ว่า อยากให้ยกเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องการจัดอบรมธรรมดา แต่เป็นปัญหาในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ซึ่งหากจากจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีต่างชาติก็จะมองเราว่า ประเทศเราหละหลวม และอาจส่งผลกระทบให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าเดินทางมาประเทศไทย และกังวลในการอยู่ในประเทศไทย หากตำรวจไม่สามารถจัดการปัญหาในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาได้
รวมถึงตัวนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สิ่งที่ทำได้คือเข้ามาดูแลเรื่องนี้ และติดตามว่าการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาหรือไม่ และพ่อของนายกฯ คือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยเป็นตำรวจเก่า และเป็นที่เคารพของตำรวจหลายคน ก็น่าจะช่วยคิดในเรื่องนี้ได้เหมือนกัน