POLITICS

โฆษกศาลฯ แจงคดี ‘ลูกเกด’ ระบุ ศาลไม่ให้เลื่อนสืบพยาน เพราะจำเลยมีทนาย 2 คน ทำหน้าที่แทนกันได้

โฆษกศาลยุติธรรม แจงคดี ‘ลูกเกด ชลธิชา’ ระบุ ศาลกำหนดวันนัดใหม่ เพื่อให้คดีเสร็จสิ้นตามกรอบเวลา – ไม่ให้เลื่อนสืบพยาน เพราะจำเลยมีทนาย 2 คน ทำหน้าที่แทนกันได้

วันนี้ (2 มิ.ย. 66) นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยถึงกรณี น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล จ.ปทุมธานี ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) เพื่อให้ตรวจสอบวินัยผู้พิพากษาศาลอาญา ที่เร่งรัดคดีอาญา มาตรา 112 ที่ น.ส.ชลธิชา ตกเป็นจำเลย โดยมีการเลื่อนนัดสืบพยานให้เร็วขึ้น จนไม่มีทนายความจำเลย ร่วมฟังการสืบพยานโจทก์ เมื่อวาน (1 มิ.ย. 66) ที่ผ่านมาว่า คดีนี้แต่เดิม มีการกำหนดนัดสืบพยานไว้เป็นช่วงเดือนมีนาคม 2567 แต่ตอนหลังมีเรื่องของการกำหนดกรอบ ระยะเวลาในกระบวนการยุติธรรม โดยมีระเบียบของประธานศาลฎีกา ออกมาว่า คดีประเภทคดีอาญาสามัญ ควรจะพิจารณาคดีแล้วเสร็จตั้งแต่วันรับฟ้อง ซึ่งศาลอาญา เห็นว่าระยะเวลา ที่มีการนัดสืบพยานในช่วงเดือนมีนาคม 2567 น่าจะเป็นระยะเวลาที่ยาวเกินไป เลยกรอบไปนาน จึงมีการปรับปรุงวันนัดใหม่ ให้กระชั้นขึ้น หรือเร็วขึ้น เพื่อไม่ให้เกินกรอบระยะเวลานานเกินไป

เมื่อกำหนดวันนัดใหม่ ก็เลยมีประเด็น ที่จำเลยโต้แย้งวันนัดว่า ในวันที่ 1-2 มิถุนายน 2566 นี้ จำเลยไม่ว่าง เพราะทนายติดว่าความคดีที่ศาลอื่น จึงขอเลื่อนการสืบพยานในวันดังกล่าว แต่องค์คณะผู้พิพากษา เจ้าของสำนวนคดีนี้ พิจารณาแล้วเห็นว่าคดีนี้ จำเลยมีทนาย 2 คน คือ นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม และนายกฤษฎางค์ นุตจรัส โดยคนที่แถลงเลื่อนว่าติดว่าความที่ศาลอื่น คือ ทนายนรเศรษฐ์ ส่วนทนายกฤษฎางค์ ไม่ได้ปรากฏว่า ติดคดีอะไร เพราะฉะนั้นโดยปกติ เมื่อมีทนาย 2 คนแบบนี้ หากคนหนึ่ง ติดว่าความคดีอื่น แต่อีกคนไม่ติดคดีอะไร ก็สามารถที่จะทำหน้าที่ได้ องค์คณะผู้พิพากษา จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนคดี และมีการสืบพยานไป

ส่วนประเด็นที่ น.ส.ชลธิชา ระบุว่า ในการสืบพยานจำเลย เมื่อวาน (1 มิ.ย. 66) ไม่มีทนายจำเลยร่วมรับฟังการสืบพยานภายในห้องพิจารณาคดี นั้น โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวว่า ตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย กำหนดว่า ต้องมีการสืบพยานต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ได้ระบุว่าต้องสืบพยานต่อหน้าทนายจำเลย เพราะฉะนั้นเรื่องของกระบวนพิจารณา การที่กฎหมายกำหนดคือเรื่องของจำเลยเป็นหลัก

แต่สิทธิ์ในการที่จะต่อสู้คดีในการถามค้านตรงนี้ ก็มี 2 ส่วนคือ ประเด็นแรก ทางศาลถามตัวจำเลยว่าจะซักถามพยานในเชิงถามค้านเองหรือไม่ ซึ่งจำเลยก็ไม่ใช้สิทธิ์ ทั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของตัวความ ไม่ว่าจะเป็นโจทก์ หรือ จำเลย ก็มีสิทธิ์ที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาได้เองอยู่แล้ว เพราะทนายก็เป็นตัวแทนของตัวความ ก็คือโจทก์ จำเลย เพราะฉะนั้น สิทธิ์ในการถาม ก็เป็นสิทธิ์ในตัวความอยู่แล้ว

นายสรวิศ ยังกล่าวด้วยว่าในการสืบพยานโจทก์ เมื่อวานที่ผ่านมามีการอัดเทป หรือ วิดีโอ ไว้ด้วย ซึ่งศาลก็ได้มีการถามเหมือนกันว่า หากทนายจำเลย ไม่ว่างในวันดังกล่าว ก็สามารถไปศึกษาจากวิดีโอ ที่บันทึกไว้ เพื่อขอถามค้านในวันอื่นได้ แต่ปรากฏว่า น.ส.ชลธิชา ก็โต้แย้งมาโดยตลอดว่า กระบวนการพิจารณาไม่ชอบ จึงแจ้งต่อศาลว่า ไม่ประสงค์ที่จะใช้สิทธิ์ตรงนี้

ส่วนการยื่นหนังสือถึง ก.ต.เพื่อขอให้ตรวจสอบการพิจารณาคดีขององค์คณะผู้พิพากษา นั้น เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ และถือเป็นเรื่องปกติ ที่ว่าหากคู่ความคนใด เห็นว่าตนเองอาจจะไม่ได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม ก็ ยื่นเรื่องให้พิจารณาได้อยู่แล้ว แต่ว่าสุดท้าย การพิจารณา จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงในคดีที่เกิดขึ้น

ส่วนประเด็นเรื่องของการตั้งคำถามว่า ศาลเร่งรัดพิจารณาคดี เฉพาะว่าที่ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล นั้น โฆษกศาลยุติธรรม ระบุว่าคงไม่ได้เกี่ยวกับการเป็นว่าที่ ส.ส.เพราะการเร่งรัดคดีตรงนี้ ก็ไม่ใช่เฉพาะคดีนี้ ซึ่งการปรับปรุงวันนัด ก็มีการปรับปรุงในหลายๆ คดีให้เร็วขึ้น ตามกฎหมายที่ออกมา และคดีของ น.ส.ชลธิชา ก็ฟ้องมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งฟ้อง ส่วนคดีที่มีการอ้างถึงว่า พิจารณาคดีล่าช้านั้น เป็นคดีที่เพิ่งเกิดขึ้น ด้วยซ้ำ ดังนั้นคงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้

Related Posts

Send this to a friend